แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ผู้ทรงเช็คย่อมต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเมื่อพ้นเวลา 1 ปี นับแต่วันเช็คถึงกำหนดหรือวันที่ลงในเช็คจำเลยที่ 2 ผู้อาวัลย่อมมีความผูกพันเป็นอย่างเดียวกับบุคคลซึ่งตนประกัน การฟ้องผู้อาวัลผู้สั่งจ่ายจึงใช้อายุความ 1 ปีเช่นเดียวกับฟ้องผู้สั่งจ่าย โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยที่ 2ผู้อาวัลจำเลยที่ 1 ภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ลงในเช็คพิพาทแต่ละฉบับ การที่จำเลยที่ 1 แก้ไขวันที่ลงในเช็คพิพาทใหม่อันเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญนั้นมีผลให้เช็คพิพาทเป็นอันเสียไป แต่ยังคงใช้ได้ต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเมื่อนับแต่วันที่ที่จำเลยที่ 1 แก้ไขลงไว้ในเช็คพิพาทถึงวันฟ้องยังไม่พ้นเวลา 1 ปี คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความแต่โจทก์จะอ้างเอาผลของการที่เช็คพิพาททั้งหมดถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงวันที่ลงในเช็คโดยจำเลยที่ 2 มิได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นมาเป็นวันเริ่มนับอายุความ เป็นเหตุให้คดีของโจทก์ในการฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ขาดอายุความนั้นหาได้ไม่เพราะมีผลเท่ากับให้โจทก์ยังคงใช้เช็คพิพาทอ้างสิทธิต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นได้ต่อไปอีกเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1007 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค จำนวน 7 ฉบับ สั่งจ่ายเงินฉบับละ 5,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้อาวัลผู้สั่งจ่ายเมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 35,194 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คจำนวน 7 ฉบับตามฟ้องให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้อาวัลจริง โจทก์นำคดีมาฟ้องนับแต่วันที่ลงในเช็คถึงวันฟ้องเกินกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 35,194 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 35,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2ให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งเจ็ดฉบับ จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 เป็นผู้อาวัลเช็คพิพาทฉบับแรกลงวันที่สั่งจ่าย วันที่ 5 กันยายน 2527 เช็คฉบับสุดท้ายลงวันสั่งจ่ายวันที่ 5 มีนาคม 2528 ต่อมาจำเลยที่ 1 แก้ไขวันสั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งเจ็ดฉบับนั้นเสียใหม่ อันเป็นข้อสำคัญ โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยินยอมด้วย จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 นับแต่วันที่ลงในเช็คก่อนการแก้ไขถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 1 ปี คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความ โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะจำเลยที่ 2 ผู้อาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับบุคคลซึ่งตนประกันและผู้สั่งจ่ายดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ทำการแก้ไขวันสั่งจ่าย การฟ้องจำเลยที่ 1ผู้สั่งจ่ายย่อมเริ่มนับอายุความนับแต่วันที่แก้ไขเปลี่ยนแปลง จำเลยที่ 2 ผู้อาวัลย่อมอยู่ในบังคับอายุความเดียวกันด้วยตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2518 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะจำเลยที่ 2 อาวัลเช็คพิพาททั้งเจ็ดฉบับ เช็คพิพาทฉบับแรกลงวันสั่งจ่ายวันที่ 5 กันยายน2527 เช็คพิพาทฉบับสุดท้ายลงวันที่ 5 มีนาคม 2528 ดังนั้นโจทก์ผู้ทรงเช็คย่อมต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเมื่อพ้นเวลา 1 ปี นับแต่วันเช็คถึงกำหนดหรือวันที่ลงในเช็คจำเลยที่ 2 ผู้อาวัลย่อมมีความผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน การฟ้องผู้อาวัลผู้สั่งจ่ายจึงใช้อายุความ 1 ปีเช่นเดียวกับฟ้องผู้สั่งจ่าย โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยที่ 2ผู้อาวัลจำเลยที่ 1 ภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ลงในเช็คพิพาทแต่ละฉบับ เช็คพิพาทฉบับสุดท้ายลงวันที่ 5 มีนาคม 2528 โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 2 วันที่ 21 กรกฎาคม 2530 จึงพ้นเวลา1 ปี นับแต่วันที่เช็คพิพาททั้งหมดถึงกำหนดใช้เงินแล้วคดีโจทก์จึงขาดอายุความ การที่จำเลยที่ 1 แก้ไขวันที่ลงในเช็คพิพาทใหม่อันเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญนั้นมีผลให้เช็คพิพาทเป็นอันเสียไป แต่ยังคงใช้ได้ต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเมื่อนับแต่วันที่จำเลยที่ 1ลงไว้ในเช็คพิพาทถึงวันฟ้อง ยังไม่พ้นเวลา 1 ปี คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความ แต่โจทก์จะอ้างเอาผลของการที่เช็คพิพาททั้งเจ็ดฉบับถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงวันที่ลงในเช็คโดยจำเลยที่ 2 มิได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นมาเป็นวันเริ่มนับอายุความเป็นเหตุให้คดีของโจทก์ในการฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ขาดอายุความนั้นหาได้ไม่ เพราะมีผลเท่ากับให้โจทก์ยังคงใช้เช็คพิพาทอ้างสิทธิต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นได้ต่อไปอีก เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1007 วรรคแรก ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน