แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยรับกันว่า สิทธิการเช่าตึกแถวจำนวน 3 ห้อง เป็นทรัพย์มรดกโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าว แม้กรรมสิทธิ์ในตึกแถวเป็นของวัดมิใช่ของโจทก์จำเลย ต่อมาเมื่อมีการโอนขายสิทธิการเช่าตึกแถวนั้นให้แก่บุคคลภายนอกได้รับเงินค่าตอบแทน เงินนั้นเป็นทรัพย์มรดกที่จะต้องนำมาแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไป.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2525 สรุปสาระสำคัญว่าทรัพย์มรดกตามบัญชีท้ายฟ้องรวม 63 รายการ และทรัพย์มรดกตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2524 โจทก์ได้ส่วนแบ่ง 4 ส่วนจำเลยได้ส่วนแบ่ง 3 ส่วน ส่วนแบ่ง 3 ส่วนนี้จำเลยจะนำไปแบ่งให้นางประสมศรี บุณยรัตพันธุ์ และนายชูศักดิ์ ธารีสารคนละ 1 ส่วน ในชั้นบังคับคดีโจทก์จำเลยได้ดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์จำเลยยอมรับกันว่า โจทก์เป็นลูกหนี้จำเลย จำนวน 32,257.14 บาท แต่จำเลยยังเป็นหนี้กองมรดกซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับมรดก ขอหักกลบลบหนี้กับจำเลย กล่าวคือทรัพย์สินต่าง ๆ ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง อันดับที่ 22, 23และ 24 ได้แก่ สิทธิการเช่าตึกแถว 2 ชั้น เลขที่ 11/8, 11/9,11/10 ต่อมาจำเลยได้โอนขายสิทธิการเช่าตึกแถวให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ได้เงินมา 350,000 บาทเงินดังกล่าวจึงตกเป็นเงินในกองมรดกของนายไถ่ ธารีสาร ซึ่งจำเลยต้องนำส่งเงินทั้งหมดแก่กองมรดกของนายไถ่ เพื่อนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาทตามส่วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์มีสิทธิได้รับ 4 ส่วน เป็นเงิน 200,000 บาท โจทก์ขอหักเงินที่โจทก์เป็นลูกหนี้จำเลย 32,257.14 บาท ดังนั้น จำเลยจึงเป็นหนี้กองมรดกนายไถ่จำนวน 167,742.86 บาท ขอให้มีคำสั่งให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยรับว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลย32,257.14 บาท จริงส่วนเรื่องตึกแถวเลขที่ 11/8, 11/9, 11/10ตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2525 ข้อ 4มีข้อความว่า ทรัพย์มรดกถ้ารายการใดนำมาแบ่งไม่ได้เพราะบุคคลภายนอกอันมิใช่ทายาทได้สิทธิไปแล้วเป็นอันไม่ต้องแบ่ง ตึกแถวทั้งสามห้องดังกล่าวจำเลยโอนขายไปก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ได้รับเงินค่าตึกแถวเลขที่ 11/11 จำนวน 150,000 บาทส่วนตึกแถวเลขที่ 11/8 โจทก์ได้รับเงินค่าตึกแถวจากนางเซียะจึงแซ่อึ้ง เป็นเงินวางมัดจำจำนวน 70,000 บาท ตึกแถวเลขที่ 11/10จำเลยได้โอนให้น้องจำเลยเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยโดยมิได้ขายหรือรับเงิน ขณะนี้โจทก์ต้องชำระหนี้ให้แก่จำเลยอีกตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 49/2525 ลงวันที่ 9มิถุนายน 2526 และตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับที่ 48 ถึง 52เป็นเงินทั้งสิ้น 172,794.16 บาท ซึ่งเป็นเงินอยู่ที่โจทก์โดยจำเลยยอมจะเฉลี่ยภาษีกองมรดกให้ 40,000 บาท หักยอดแล้วจำเลยมีสิทธิได้รับเงินส่วนแบ่ง 3 ส่วน เป็นเงิน 56,911.78 บาท และจำเลยขอคิดดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2526 อัตราร้อยละ 7.5ต่อปีในยอดเงินดังกล่าวเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินให้จำเลยครบถ้วน ขอศาลยกคำร้องและดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์จำเลยยื่นคำร้องชั้นบังคับคดีหลายเรื่อง แต่ยื่นคำร้องรวมมาในเรื่องเดียวกันจึงมีคำสั่งให้แยกพิจารณาเป็นสาขาไปไม่ให้รวมหักหนี้กันโดยสั่งแยกเรื่องตึกพิพาทเลขที่ 11/8, 11/9 และ 11/10 เป็นสำนวนที่สามส่วนเรื่องทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ลำดับที่ 48 ถึง 52 เป็นสำนวนที่สี่
ไต่สวนพยานในสำนวนทั้งสองเสร็จแล้ว โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยทั้งสองเรื่องรวมกันเพราะเป็นมูลคดีที่เกี่ยวเนื่องกันศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดในการโอนสิทธิการเช่าตึกแถวเลขที่ 11/9 และ 11/10 เป็นเงิน 280,000 บาท คิดเป็นส่วนของโจทก์ 4 ส่วน เป็นเงิน 160,000 บาท รวมทั้งส่วนที่จำเลยรับเกินไปสำหรับตึกแถวเลขที่ 11/8 อีก 10,000 บาท รวมเป็นส่วนที่โจทก์จะได้รับ 170,000 บาท หักเงินที่โจทก์เป็นหนี้จำเลย32,257.14 บาท คงเหลือเงินที่จำเลยเป็นหนี้กองมรดก 137,742.86 บาทส่วนโจทก์ไม่มีสิทธิหักเงินค่าธรรมเนียม คงหักได้เฉพาะเงินค่าภาษีมรดก 41,839 บาท คงเหลือยอดเงินที่โจทก์เป็นหนี้กองมรดก130,955.16 บาท คิดส่วนแบ่งให้จำเลย 3 ส่วน ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน 56,123.64 บาท นำเงินจำนวนนี้ไปหักจากหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้กองมรดก 137,742.86 บาท จำเลยคงต้องชำระให้โจทก์81,619.22 บาท ส่วนดอกเบี้ยโจทก์ไม่มีสิทธิคิดจนกว่าศาลจะสั่งจึงมีคำสั่งให้จำเลยนำเงิน 81,619.22 บาท มาชำระให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง (10 กุมภาพันธ์ 2529) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาในข้อแรกว่าตึกแถวเลขที่ 11/8, 11/9, 11/10 ไม่ใช่ทรัพย์มรดก และมีปัญหาว่าจำเลยต้องชดใช้เงินให้โจทก์เป็นเงินเท่าใด เห็นว่า สิทธิการเช่าตึกแถว 3 ห้องดังกล่าว โจทก์จำเลยรับกันว่าเป็นทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับที่ 22, 23 และ 24 ซึ่งโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ดังนั้น ทรัพย์มรดกดังกล่าวต้องนำมาแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความแม้กรรมสิทธิ์ในตึกแถว 3 ห้องดังกล่าวจะตกเป็นของวัดเสนาสนารวมมาตั้งแต่ต้นก็ตาม แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิการเช่า และเมื่อมีการโอนขายสิทธิการเช่าตึกแถวให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วโดยได้รับเงินเป็นค่าตอบแทน เงินดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์มรดกที่จะต้องนำมาแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อไป…”
พิพากษายืน.