แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้น ตราบใดที่ลูกจ้างยังมิได้ถูกเลิกจ้าง ลูกจ้างหามีสิทธิจะเรียกร้องไม่ ลูกจ้างจะมีสิทธิเรียกร้องได้ก็ต่อเมื่อถูกเลิกจ้างแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ลูกจ้างอาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีได้นับแต่วันถูกเลิกจ้าง โจทก์ถูกเลิกจ้าง วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2528 โจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2528 อายุความแห่งสิทธิเรียกร้อง ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี พ.ศ.2526 จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(9)
สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีย่อมเกิดขึ้นทันทีที่ลูกจ้างทำงานครบตามที่ กำหนดในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปจนครบ1 ปีไม่ ระเบียบการของจำเลยซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำหนดว่า พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ 15 วันทำงาน เมื่อโจทก์ทำงานครบ 5 ปีในปีใด ในปีต่อไปย่อมเกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะหยุดพักผ่อนได้15 วันทำงานได้ทันทีจำเลยเลิกจ้างโจทก์วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2528 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อน ประจำปี 2528 ได้ 15 วัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2206/2528).
ระเบียบการของธนาคารจำเลยมีว่า กรณีที่ลูกจ้างเจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่การงานของตนได้โดยสม่ำเสมอแต่ไม่ ถึงทุพพลภาพ ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นสมควรให้ออกจากธนาคารแล้ว ให้สั่งลูกจ้างออกจากงานได้ จำเลยจึงมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ตามระเบียบการนี้ แต่เมื่อเลิกจ้างแล้วจำเลยจะต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ซึ่งมีข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 46 วรรคสาม และข้อ 47(1) ถึง (6) การเจ็บป่วยไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นดังกล่าวประการใดประการหนึ่งทั้งสิ้น จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์
คำให้การของจำเลยตอนแรกมีความหมายเป็นนัยว่า เมื่อโจทก์ออกจากงานได้รับเงินบำเหน็จเป็นจำนวนมากกว่าค่าชดเชย อยู่แล้ว เหตุใดจึงมาเรียกค่าชดเชยซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าอยู่อีก ส่วนความในตอนหลังปฏิเสธที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะเกี่ยวด้วยด้านตัวโจทก์เองที่ฝ่าฝืนระเบียบของจำเลย อันต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย ฯ กำหนดไว้ส่วนข้อที่เงินบำเหน็จซึ่งจำเลยจ่ายให้โจทก์รับไปแล้วเป็นเงินประเภทเดียวกับค่าชดเชยหรือไม่ โจทก์ฟ้องเรียกเงินประเภท เดียวซ้ำกันมาอีกหรือไม่ หามีในคำให้การไม่ การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเงินบำเหน็จที่โจทก์ได้รับไปแล้วเป็นเงินต่างประเภทกับค่าชดเชย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามคำให้การ ไม่เป็นเหตุที่จำเลยจะอุทธรณ์นอกประเด็นตามคำคู่ความได้ และไม่เป็นการผูกพันศาลฎีกาจะต้องรับวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
ข้อที่ว่าโจทก์ได้ทวงถามแล้วหรือไม่ จำเลยมิได้ ปฏิเสธให้เป็นประเด็นในคำให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๑,๖๔๐ บาท เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์เจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติงานได้โดยสม่ำเสมอ ซึ่งมิใช่เป็นการให้ออกเพราะโจทก์กระทำความผิด จำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๓ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๘ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๒๙,๘๔๐ บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีรวม ๓๒,๑๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลหลายครั้ง ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ แพทย์มีความเห็นว่าสมควรให้โจทก์ออกจากงาน การเจ็บป่วยของโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะไม่มีพนักงานปฏิบัติงานอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ จำเลยจึงต้องเลิกจ้างโจทก์ตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ ๑๒๑ ข้อ ๖.๑ จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยเพราะเข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน เมื่อโจทก์ออกจากงานจำเลยได้จ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพแล้วเป็นเงิน ๘๒๒,๗๒๐ บาท ตามระเบียบการธนาคารออมสิน ฉบับที่ ๖๗ ว่าด้วยเงินทุนเลี้ยงชีพของพนักงานธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าค่าชดเชยที่โจทก์เรียกร้อง สำหรับค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปี ๒๕๒๖ โจทก์หยุดมาแล้ว ๖ วัน ที่ฟ้องเรียกมาเต็มจำนวนจึงไม่ถูกต้อง จำนวนวันที่เหลือโจทก์สมัครใจไม่หยุดเอง จำเลยมิได้ขัดขวางหรือระงับการใช้สิทธิของโจทก์ และค่าจ้างสำหรับปี ๒๕๒๖ ขาดอายุความแล้ว ส่วนปี ๒๕๒๗ โจทก์ใช้สิทธิหยุดครบ๑๕ วัน ปี ๒๕๒๘ โจทก์ทำงานไม่ครบกำหนดตามที่จำเลยกำหนด หากโจทก์มีสิทธิเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒๕๒๘ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับส่วนเฉลี่ยไม่ใช่ได้รับเต็ม ๑๕ วันตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณา โจทก์แถลงรับว่าปี ๒๕๒๖ โจทก์หยุดพักผ่อนประจำปีแล้ว ๖ วันจริง ปี ๒๕๒๗ โจทก์หยุดพักผ่อนประจำปีแล้ว ๑๕ วันจริง จำเลยแถลงยอมรับว่าปี ๒๕๒๘ โจทก์ยังไม่ได้หยุดพักผ่อนก็ถูกเลิกจ้างเสียก่อน ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่าย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยตามฟ้องสำหรับค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒๕๒๖ ที่เหลืออีก ๙ วัน ขาดอายุความแล้ว สำหรับปี ๒๕๒๘ โจทก์ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับคิดเป็นเงิน ๑,๕๔๖.๖๕ บาท พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๒๙,๘๔๐ บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒๕๒๘ จำนวน ๑,๕๔๖.๖๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันเลิกจ้างให้แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๕ กำหนดว่า “ถ้านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างประจำโดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามข้อ ๔๗ ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามข้อ ๑๐ และข้อ ๓๒ ด้วย” เห็นได้ว่า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีนั้น ตราบใดที่ลูกจ้างยังมิได้ถูกเลิกจ้าง ลูกจ้างหามีสิทธิจะเรียกร้องไม่ ลูกจ้างจะมีสิทธิเรียกร้องได้ก็ต่อเมื่อถูกเลิกจ้างแล้ว หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ลูกจ้างอาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีได้นับแต่วันถูกเลิกจ้าง ซึ่งคดีนี้โจทก์ถูกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๒๘ อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๖ จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕(๙)
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๑๐ กำหนดไว้ว่า “ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาแล้วครบหนึ่งปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่น้อยกว่าปีละหกวันทำงาน โดยให้นายจ้างเป็นผู้กำหนดล่วงหน้าให้
นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้า สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปรวมหยุดในปีอื่นก็ได้”
ตามระเบียบการของจำเลยกำหนดว่า พนักงานที่มีเวลาทำงานตั้งแต่ ๕ ปีขึ้นไป ลาได้ ๑๕ วันทำงาน โจทก์ทำงานมาแล้วถึง ๓๗ ปี ๑๐ เดือน ๒๑ วัน จึงปรับได้กับประกาศกระทรวงมหาดไทย ฯ ดังกล่าวซึ่งมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายโดยประกอบกับระเบียบการของจำเลยเอง ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งหากโจทก์ทำงานครบ ๕ ปีในปีใด ในปีต่อไปย่อมเกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะหยุดพักผ่อนมีกำหนด๑๕ วันทำงานได้ทันที โดยหาจำต้องทำงานในปีต่อไปนั้นจนครบ ๑ ปีไม่โดยนัยนี้ โจทก์ได้ลาหยุดพักผ่อนประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๗ แล้วตามสิทธิ ในปีต่อไปคือ พ.ศ. ๒๕๒๘ โจทก์ยังทำงานต่อมาอีก สิทธิของโจทก์ที่จะหยุดพักผ่อน ๑๕ วันย่อมเกิดขึ้นทันทีโดยหาจำต้องทำงานให้ครบ ๑ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๒๘ ไม่
ระเบียบการของจำเลยกำหนดว่า กรณีที่โจทก์เจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่การงานของตนได้โดยสม่ำเสมอแต่ไม่ถึงทุพพลภาพ ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นสมควรให้ออกจากธนาคารแล้ว ให้สั่งโจทก์ออกจากธนาคารได้นั้น แม้ระเบียบมีอยู่เช่นนี้จริงแต่การเจ็บป่วย ไม่มีประสิทธิภาพ หาใช่เป็นการกระทำผิดหรือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบการของจำเลยประการใดไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ตามระเบียบการฉบับดังกล่าว แต่เมื่อเลิกจ้างแล้วจำเลยจะต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่จะต้องพิจารณาตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๖ ซึ่งมีข้อยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ ๔๖ วรรคสาม และข้อ ๔๗(๑) ถึง (๖)กรณีของโจทก์มิได้ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยประการใดประการหนึ่งทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชย
คำให้การจำเลยตอนแรกมีความหมายเป็นนัยว่า เมื่อโจทก์ออกจากงานได้รับเงินบำเหน็จเป็นจำนวนมากกว่าค่าชดเชยอยู่แล้ว เหตุใดจึงมาเรียกค่าชดเชยซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าอยู่อีก ส่วนความในตอนหลังปฏิเสธที่จะไม่จ่ายค่าชดเชย เพราะเกี่ยวด้วยด้านตัวโจทก์เองที่ฝ่าฝืนระเบียบของจำเลย อันต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ กำหนดไว้ ส่วนข้อที่เงินบำเหน็จซึ่งจำเลยจ่ายให้โจทก์รับไปแล้วเป็นเงินประเภทเดียวกับค่าชดเชยหรือไม่ โจทก์ฟ้องเรียกเงินประเภทเดียวซ้ำกันมาอีกหรือไม่ หามีในคำให้การประการใดไม่ การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเงินบำเหน็จที่โจทก์ได้รับไปแล้วเป็นเงินต่างประเภทกับค่าชดเชย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามคำให้การ ไม่เป็นเหตุที่จำเลยจะอุทธรณ์นอกประเด็นตามคำคู่ความได้ และไม่เป็นการผูกพันที่ศาลฎีกาจะต้องรับวินิจฉัยตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางด้วยเหตุนี้
ข้อที่โจทก์ทวงถามแล้วหรือไม่ จำเลยมิได้ปฏิเสธให้เป็นประเด็นในคำให้การ เพราะฉะนั้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ๖,๒๙๗ บาท ให้จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๘ จำนวน ๑๐,๘๒๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๗,๑๑๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.