แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันดำเนินกิจการจัดหาเงินจากประชาชนและให้กู้ยืมเงินในระยะสั้นเป็นทางค้าปกติโดยรับเงินจากประชาชนแล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้เจ้าของเงินไว้รวม 70 รายการ และยังให้บริษัทเงินทุน 2 บริษัทกู้ยืมเงินไป โดยจำเลยรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน อีก 6 รายการเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจเงินทุน ฯ พ.ศ.2522. จำเลยทั้งสี่ยอมให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี และมิได้ นำพยานหลักฐานเข้านำสืบหักล้างข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่จำเลยฎีกาว่าไม่มีเจตนากระทำความผิดอีกย่อมรับฟังไม่ได้
บริษัทจำเลยที่ 1 กระทำความผิดซึ่งจะต้องรับโทษตามมาตรา 71 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 จะต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ เช่นเดียวกับบริษัทจำเลยที่ 1 เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของบริษัทจำเลยที่ 1
ตามมาตรา 71 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ บัญญัติให้ลงโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ 2 ขั้น คือเมื่อลงมือกระทำผิดต้องถูกลงโทษขั้นแรกจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และตลอดเวลาที่กระทำความผิดจะต้องถูกลงโทษในขั้นที่สองอีกโดยปรับไม่เกินวันละห้าพันบาทโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นความผิดกรรมเดียวกันหรือไม่ก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เป็นกรรมการ จำเลยที่ ๑ มีวัตถุประสงค์ในการกู้ยืมเงิน ให้กู้ยืมและอื่น ๆ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเงินทุน เมื่อระหว่างวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๔ เวลากลางวันถึงวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๒๕ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับเงินจากประชาชนโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินรวม ๗๐ รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๘๖๓,๐๙๒ บาท และเมื่อระหว่างวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๒๔ เวลากลางวันจนถึงวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๕ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ร่วมให้กู้ยืมเงินระยะสั้นแก่บริษัทเงินทุนเยาวราช จำกัด และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อาทรทรัสท์ จำกัด โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัทเงินทุนทั้งสองดังกล่าวรวม ๖ รายการ เป็นเงิน ๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการประกอบธุรกิจเงินทุนประเภทกิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ โดยจำเลยมิใช่บริษัทเงินทุน และโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เหตุเกิดที่แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๑๑, ๗๑ และ ๗๘ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓, ๘๓ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๑๑ และ ๗๘ ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๑, ๗๑ ปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๔ เดือนและปรับคนละ ๖,๐๐๐ บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๒ เดือนและปรับคนละ ๓,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอ ๑ ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ของกลางไม่สมควรริบเพราะจำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งบริษัทถูกต้องในภายหลังแล้ว
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๑ ปี กับให้ปรับจำเลยทั้งสี่อีกคนละ ๒,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๑ ปี กับให้ปรับจำเลยทั้งสี่อีกคนละ ๒,๐๐๐ บาทต่อวันเป็นเวลา ๑๑๕ วัน รวมเป็นปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๑ ปี และปรับคนละ ๒๓๐,๐๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๖๕,๐๐๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๖ เดือน และปรับคนละ ๑๑๕,๐๐๐ บาท ไม่รอการลงโทษ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนมีกำหนด ๒ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกาโดยผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันดำเนินกิจการจัดหาเงินจากประชาชนและให้กู้ยืมเงินในระยะสั้นเป็นทางค้าปกติโดยรับเงินจากประชาชนแล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้เจ้าของเงินไว้รวม ๗๐ รายการ และยังให้บริษัทเงินทุน ๒ บริษัทกู้ยืมเงินไป โดยจำเลยรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินอีก ๖ รายการ เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยทั้งสี่ยอมให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี และมิได้นำพยานหลักฐานเข้านำสืบหักล้างข้อเท็จจริงดังกล่าวแต่ประการใด การที่ฎีกาว่าไม่มีเจตนากระทำความผิดอีกย่อมรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำความผิดจริงดังฟ้อง
ตามมาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษว่า เมื่อผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามมาตรา ๗๑ เป็นนิติบุคคล กรรมการของนิติบุคคลนั้น หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มิได้พิสูจน์ในข้อที่กฎหมายกำหนดไว้เลย จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จึงต้องรับโทษ
ตามมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ บัญญัติให้ลงโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ ๒ ขั้น คือเมื่อลงมือกระทำผิดต้องถูกลงโทษขั้นแรกจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และตลอดเวลาที่กระทำความผิดจะต้องถูกลงโทษในขั้นที่สองอีกโดยปรับไม่เกินวันละห้าพันบาทโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นความผิดกรรมเดียวกันหรือไม่ก็ตาม ศาลอุทธรณ์ปรับบทกำหนดโทษของจำเลยทั้งสี่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่คดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่ปรากฏว่าผู้ที่มาติดต่อกู้ยืมเงินจากจำเลยหรือให้จำเลยกู้ยืมเงินถูกฉ้อโกงหรือได้รับความเสียหาย และตามหลักฐานที่จำเลยอ้างมีการคืนเงินแก่ลูกค้าไปเกือบครบจำนวนแล้ว ทั้งจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ดำเนินกิจการแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง จึงสมควรกำหนดอัตราโทษให้เหมาะสมเสียใหม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๖ เดือน และปรับคนละ ๔๐,๐๐๐ บาท และให้ปรับจำเลยทั้งสี่อีกวันละ ๑,๐๐๐ บาทต่อคนเป็นเวลา ๑๑๕ วัน รวมโทษปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒๑๕,๐๐๐ บาทจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จำคุกคนละ ๖ เดือน และปรับคนละ ๑๖๕,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑๐๗,๕๐๐บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ คนละ ๓ เดือน และปรับคนละ ๘๒,๕๐๐ บาทถ้าไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ โดยกักขังแทนมีกำหนดคนละ ๑ ปี พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีอีกครั้ง จึงให้รอการลงโทษจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไว้มีกำหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์