คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีทำสัญญาขายฝากต่อกันโจทก์ย่อมนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่า โจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนทรัพย์ก่อนพ้นกำหนดเวลาจำเลยเพทุบายหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายไม่ให้ไถ่ โจทก์จึงไม่ได้ไถ่ ดังนี้ โจทก์ย่อมนำสืบได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับเงินตามจำนวนที่ทำสัญญาขายฝากกันและโอนทรัพย์ที่ขายฝากคืนให้โจทก์นั้นย่อมเป็นการขอให้ยกเลิกเพิกถอนนิติกรรมขายฝากอยู่ในตัวแล้วโจทก์ไม่จำเป็นต้องฟ้องขอให้ทำลายสัญญาขายฝากก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้กู้เงินจำเลย 200,000 บาท และเอาที่ดินโฉนดที่ 7225 พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างของโจทก์วางประกันเงินกู้ในการกู้นี้จำเลยขอให้ทำสัญญาอำพรางเป็นขายฝากมีกำหนด 1 ปีเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้รายอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องจำเลยได้ใช้อุบายผัดผ่อนเรื่อยมาจนพ้น 1 ปี โจทก์ไปขอไถ่ จำเลยอ้างเวลาไถ่ถอนหมดสิ้นแล้ว เป็นการทุจริตฉ้อโกงโจทก์และใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจึงขอให้จำเลยรับเงิน 215,000 บาท และโอนโฉนดที่ 7225 พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์

จำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้หลอกลวงโจทก์ โจทก์ไม่ไถ่ถอนภายใน 1 ปี ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตกเป็นของจำเลยแล้ว การทำสัญญาขายฝากไม่เป็นนิติกรรมอำพราง และฟ้องแย้งขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และเรียกค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท จนกว่าจะออกจากที่พิพาท

ศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นการกู้เงิน จำเลยคิดเอาดอกเบี้ยแต่ทำเป็นสัญญาขายฝากต่อกัน เพื่ออำพรางปกปิดความจริง เป็นการป้องกันเจ้าหนี้อื่น พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารสัญญานี้เป็นเรื่องขายฝาก โจทก์ย่อมนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่า โจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์รายพิพาทก่อนพ้นกำหนดเวลา จำเลยเพทุบายหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายไม่ให้ไถ่โจทก์จึงไถ่ไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้าม คดีนี้โจทก์ไม่จำเป็นต้องฟ้องขอให้ทำลายสัญญาขายฝากก่อน เพราะการที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับชำระเงินจำนวนที่ทำสัญญาขายฝากกันและโอนทรัพย์ที่ขายฝากคืนให้โจทก์ย่อมเป็นการขอให้ยกเลิกเพิกถอนนิติกรรมขายฝากอยู่ในตัวแล้ว

พิพากษายืน

Share