แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากนาง ม. และโจทก์ฟ้องคดีเกิน1ปีนับแต่ถูกรบกวนการครอบครองคดีก็ไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375เนื่องจากจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยมาแต่แรกและการแย่งการครอบครองนั้นต้องยอมรับก่อนว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยแย่งการครอบครองมาการที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่งประกอบมาตรา246เป็นการไม่ชอบและปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246,247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2533 จำเลยกับบิดาได้นำรถไถนาเข้าไปไถปรับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก. ) เลขที่ 1099 ของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก. ) เลขที่ 2315 และครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยแปลงนี้ไม่ได้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนการครอบครองขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยนำรถไถนาเข้าไปไถปรับที่พิพาทเพื่อจัดสรรขายขอให้ขับไล่จำเลย ให้การ ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยได้มาโดยซื้อมาจากนางมะลิ ฉ่ำพงษ์และโจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนการครอบครอง เห็นว่าแม้ศาลชั้นต้น กำหนด ประเด็น ข้อพิพาทข้อ 3 ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะนำคดีมาฟ้อง เกิน 1 ปี นับแต่เวลา ถูก รบกวน การ ครอบครองคดีก็ไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เพราะจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ โดยจำเลยได้ให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยมา แต่แรกการแย่งการครอบครองต้องยอมรับก่อน ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยแย่งการครอบครองมา เมื่อคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 การ ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 246 เป็น การ ไม่ชอบ ซึ่งปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจ ยกขึ้น วินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบ มาตรา 246, 247 คดีจึงมีปัญหาวินิจฉัยเพียงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทหรือไม่ โดยประเด็นดังกล่าวศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่แล้ว ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทจำเลยอยู่โดยไม่มีสิทธิจึงต้องออกไปจากที่พิพาท
พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก. ) เลขที่ 1099 ของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป