คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรที่ค้างชำระไม่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้รอคำวินิจฉัยอุทธรณ์หรือคำพิพากษา ประมวลรัษฎากรมาตรา 12, 31 บัญญัติให้สิทธิผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอที่จะสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้นั้นหรือไม่ก็ได้ หาใช่เป็นบทบังคับให้ต้องยึดทรัพย์สินนั้นทันทีตั้งแต่วันครบกำหนดชำระค่าภาษีที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งมาไม่หากสิทธิเรียกร้องเพื่อเอาค่าภาษีอากรยังไม่ขาดอายุความกรมสรรพากรย่อมมีสิทธิบังคับเอาได้
การที่อายุความจะสะดุดหยุดลงหรือสะดุดหยุดอยู่หรือไม่ย่อมเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้โดยไม่ต้องคำนึงว่าอธิบดีกรมสรรพากรจะอนุมัติให้ทุเลาการเสียภาษีอากรไว้หรือไม่
เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินไปให้โจทก์ทราบ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2508. อายุความก็สะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 และเริ่มนับอายุความใหม่ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องในปี พ.ศ.2514 อายุความก็สะดุดหยุดอยู่จนกว่าคดีจะได้วินิจฉัยถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 175 และเริ่มนับอายุความต่อจากอายุความเดิมเมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2520 เมื่อนับอายุความตามวิธีดังกล่าวมาจนถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2521 อันเป็นวันที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระยังไม่เกิน 10 ปี หนี้รายนี้จึงยังไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องว่าหนี้ที่จำเลยเรียกร้องจากโจทก์เป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้วจำเลยต่อสู้ว่า หนี้ดังกล่าวไม่ขาดอายุความเพราะอายุความเริ่มนับแต่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเพราะมีการอุทธรณ์การประเมินและฟ้องคดีต่อศาล ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลงและสะดุดหยุดอยู่จึงอยู่ในประเด็นแห่งคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๐๘ เจ้าพนักงานประเมินได้มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าโจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ถึง ๒๕๐๖ ไม่ถูกต้องให้โจทก์นำภาษีและเงินเพิ่มรวม ๒,๔๐๙,๙๓๙.๔๕ บาท ไม่ชำระภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๐๘ โจทก์อุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาล ศาลพิพากษาว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้วในระหว่างพิจารณาอธิบดีกรมสรรพากรมิได้อนุมัติให้โจทก์ได้รับการทุเลาการเสียภาษีอากร จำเลยมิได้ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับเพื่อเอาค่าภาษีอากรค้างจากโจทก์นับแต่วันที่อาจใช้สิทธิเรียกร้องบังคับได้เป็นเวลาเกิน ๑๐ ปีหนี้ค่าภาษีอากรจึงขาดอายุความแล้ว แต่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๒ เรียกร้องให้โจทก์ชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้างซึ่งขาดอายุความแล้ว และเงินเพิ่มใหม่รวม ๒,๙๓๙,๑๒๗.๓๔ บาท ภายในวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๑ ขอให้ศาลพิพากษาว่าหนี้ที่จำเลยเรียกร้องดังกล่าวขาดอายุความแล้ว ห้ามจำเลยและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลรัษฎากรใช้สิทธิยึดทรัพย์สินของโจทก์เพื่อชำระหนี้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒
จำเลยให้การว่า ในระหว่างที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งพิจารณาอุทธรณ์ และศาลกำลังพิจารณาคดีอยู่นั้น กรมสรรพากรยังไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ อายุความเริ่มนับเมื่อศาลอ่านคำพิพากษาฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ หนี้ภาษีอากรตามฟ้องจึงยังไม่ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานและพิพากษา ห้ามจำเลยใช้สิทธิเรียกร้องยึดทรัพย์โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าภาษีอากรรายนี้อีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒, ๓๑ เป็นบทบัญญัติให้สิทธิผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอที่จะสั่งยึด และสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรที่ค้างชำระหรือไม่ก็ได้ในกรณีที่ผู้นั้นไม่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้รอคำวินิจฉัยอุทธรณ์หรือคำพิพากษาหาใช่เป็นบทบังคับให้ต้องยึดทรัพย์สินนั้นทันทีนับตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดชำระค่าภาษีที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งมาไม่ หากสิทธิเรียกร้องเพื่อค่าภาษีอากรยังไม่ขาดอายุความกรมสรรพากรย่อมมีสิทธิบังคับเอาได้ เหตุนี้การที่อายุความจะสะดุดหยุดอยู่หรือไม่นั้น ย่อมเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ไม่ว่าอธิบดีกรมสรรพากรจะอนุมัติให้ทุเลาการเสียภาษีอากรไว้หรือไม่ปัญหาทั้งสองข้อนี้เป็นคนละเรื่องต่างหากจากกัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงและสะดุดหยุดอยู่ไว้ถูกต้องแล้ว กล่าวคือ เมื่อเจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินไปให้โจทก์ทราบตามหนังสือลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๐๘ อายุความก็สะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓ และเริ่มนับอายุความใหม่เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ อายุความก็สะดุดหยุดอยู่จนกว่าศาลจะได้วินิจฉัยถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕และเริ่มนับอายุความต่อจากอายุความเดิมเมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ เมื่อนับอายุความตามวิธีดังกล่าวมาจนถึงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๑ อันเป็นวันที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระยังไม่เกินสิบปี หนี้รายนี้ก็ยังไม่ขาดอายุความ
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า คดีไม่มีประเด็นจะวินิจฉัยเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงหรือสะดุดหยุดอยู่นั้น เห็นว่า โจทก์อ้างว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยเรียกร้องจากโจทก์เป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้ว จำเลยต่อสู้ว่าหนี้ดังกล่าวไม่ขาดอายุความและอายุความเริ่มนับแต่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เพราะมีอุทธรณ์การประเมินและฟ้องคดีต่อศาล ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลง จึงอยู่ในประเด็นแห่งคดี หาใช่เป็นคำให้การที่เคลือบคลุมดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share