คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3377/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจารและความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อกระทำการค้าประเวณีนั้น กฎหมายมุ่งที่จะบังคับแก่ผู้ที่เป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เพื่อการอนาจารหรือเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี ไม่ว่าการเป็นธุระจัดหาดังกล่าวกระทำขึ้นโดยวิธีการใด ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณีนั้น กฎหมายมุ่งที่จะบังคับแก่ผู้จัดการกิจการหรือสถานที่ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าประเวณีหรือเพื่อใช้ในการติดต่อหรือจัดหาบุคคลเพื่อกระทำการค้าประเวณีเป็นการเฉพาะ ดังนี้ เมื่อสภาพแห่งความผิดทั้งสองอย่างดังกล่าวมีความมุ่งหมายให้เกิดผลต่อผู้กระทำความผิดที่มีเจตนากระทำความผิดแตกต่างกันจึงเป็นความผิดต่างกรรม มิใช่กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษา แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหานี้ขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อโจทก์ไม่ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษทั้งสองบทในความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเพื่อการอนาจารและฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อให้กระทำการค้าประเวณีตามจำนวนผู้เสียหาย รวม 4 กระทง กับฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณี อีก 1 กระทง ต่างหากได้ เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 283 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 4, 9, 11
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 282 วรรคแรก ด้วย) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่, 11 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 5 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งผู้เสียหายที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยใช้อุบายหลอกลวงเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งผู้เสียหายที่ 1 เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม (ที่ถูก ต้องระบุด้วยว่า เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีฯ มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันเป็นเจ้าของกิจการการค้าประเวณี จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 19 ปี ลงโทษจำเลยที่ 5 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าของกิจการการค้าประเวณี จำคุก 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละ 12 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง, 11 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจาร รวม 4 กระทง ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาหญิงไปเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี รวม 4 กระทง และฐานร่วมกันเป็นเจ้าของกิจการการค้าประเวณี ผู้ดูแล หรือผู้จัดการกิจการการค้าประเวณี หรือสถานการค้าประเวณี หรือเป็นผู้ควบคุมผู้กระทำการค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณี รวม 4 กระทง แต่ความผิดทั้งสามฐานดังกล่าวเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 4 กระทง จำคุกคนละ 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกคนละ 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาผู้เสียหายทั้งสี่ไปเพื่อการอนาจาร เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น และเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสี่กระทำการค้าประเวณี และเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการหรือผู้ควบคุมผู้กระทำการค้าประเวณีในร้านน้องแพ็ทคาราโอเกะซึ่งเป็นสถานการค้าประเวณีหรือไม่ ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาว่า ร้านน้องแพ็ทคาราโอเกะเป็นร้านขายสุราและเครื่องดื่ม ไม่ใช่สถานการค้าประเวณี จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่เคยได้รับเงินค่าบริการจากลูกค้าผู้ซื้อบริการทางเพศ การที่ผู้เสียหายทั้งสี่กระทำการค้าประเวณีเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 เหตุที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 เดินทางไปรับผู้เสียหายทั้งสี่เนื่องจากได้รับแจ้งจากนางสอนหรือแอ๋ว ว่าผู้เสียหายทั้งสี่ประสงค์ไปทำงานเสิร์ฟอาหาร โดยจำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้เป็นผู้ชักชวนให้ไปค้าประเวณีนั้น คงได้ความตามที่โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสี่เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันสรุปได้ว่า ร้านน้องแพ็ทคาราโอเกะเป็นห้องแถวคล้ายร้านอาหาร มีตู้คาราโอเกะชนิดหยอดเหรียญและโต๊ะสำหรับรอรับแขกประมาณ 5 ชุด มีพนักงานหญิงนอกเหนือจากพยานทั้งสี่อีก 10 ถึง 20 คน โดยในระหว่างการทำงานพยานทั้งสี่และพนักงานอื่นต้องไปนั่งหน้าร้านเพื่อรอลูกค้าเลือกไปให้บริการทางเพศที่โรงแรมหลังจากจ่ายเงินค่าบริการให้แก่เจ้าของร้าน และในระหว่างที่พยานทั้งสี่ทำงานที่ร้านดังกล่าวได้ถูกลูกค้าที่เป็นชายเลือกไปให้บริการทางเพศที่โรงแรมหลังจากจ่ายเงินค่าบริการให้แก่จำเลยที่ 5 บุตรของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ดังนี้ นอกจากโจทก์มีผู้เสียหายทั้งสี่เป็นพยานยืนยันว่าร้านน้องแพ็ทคาราโอเกะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการติดต่อหรือจัดหาบุคคลเพื่อกระทำการค้าประเวณีโดยผู้เสียหายทั้งสี่รวมทั้งพนักงานหญิงของร้านมีหน้าที่นั่งหน้าร้านเพื่อรอให้ผู้ประสงค์ใช้บริการเลือกตัวไปให้บริการทางเพศโดยการชำระสินจ้างซึ่งเป็นค่าบริการให้แก่ทางร้านแล้ว เมื่อพิจารณาจากสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับบริการลูกค้าและลักษณะการให้บริการของร้านน้องแพ็ทคาราโอเกะดังที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความรับว่า มีเพียงการจำหน่ายเบียร์ สุราและเครื่องดื่มกับให้บริการตู้เพลงหรือตู้คาราโอเกะชนิดหยอดเหรียญและโต๊ะอาหารสำหรับให้บริการลูกค้าเพียง 5 ถึง 6 ชุด ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ามีการขายอาหารหรือการให้บริการอื่นในลักษณะอย่างเป็นร้านอาหารซึ่งจำเป็นต้องใช้พนักงานเสิร์ฟหญิงจำนวนมาก โดยเฉพาะการที่ผู้เสียหายทั้งสี่ต่างเบิกความถึงลักษณะการทำงานว่า พนักงานทั้งหมดมีหน้าที่นั่งหน้าร้านเพื่อรอให้ลูกค้าเลือกตัวไปให้บริการทางเพศที่โรงแรมหลังจากชำระค่าบริการให้แก่ทางร้าน กรณีจึงรับฟังได้ว่าร้านน้องแพ็ทคาราโอเกะของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นสถานที่ที่ใช้ในการติดต่อหรือจัดหาบุคคลอื่นเพื่อกระทำการค้าประเวณี จึงเป็นสถานการค้าประเวณี การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันเดินทางไปรับผู้เสียหายทั้งสี่จากจังหวัดขอนแก่น พาไปเสนอตัวเพื่อให้บริการทางเพศที่ร้านดังกล่าวอันเป็นประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการหรือผู้ควบคุมผู้กระทำการค้าประเวณี และเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาผู้เสียหายทั้งสี่ไปเพื่อการอนาจาร เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสี่กระทำการค้าประเวณี ดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาอ้างว่า ร้านน้องแพ็ทคาราโอเกะเป็นร้านขายสุราและเครื่องดื่ม การค้าประเวณีเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขัดแย้งกับลักษณะการประกอบกิจการและการทำงานของพนักงานดังกล่าวข้างต้น จึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่พิพากษาว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจารโดยหญิงยินยอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 เกินคำขอและเป็นข้อที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือให้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด อันเป็นความผิดที่รวมการกระทำหลายอย่างและแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เกิดขึ้นโดยความยินยอมของผู้เสียหายทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงชอบที่จะลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ไม่ใช่กรณีเกินคำขอหรือโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษดังที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ยกขึ้นฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในส่วนนี้ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล หรือผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณี หลายกรรมต่างกันตามจำนวนผู้เสียหายทั้งสี่รวม 4 กระทง ถูกต้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 4 บัญญัติบทนิยามความหมายของสถานการค้าประเวณีว่า เป็นสถานที่ที่จัดไว้เพื่อการค้าประเวณีหรือยอมให้มีการค้าประเวณี และให้หมายความรวมถึงสถานที่ที่ใช้ในการติดต่อหรือจัดหาบุคคลอื่นเพื่อกระทำการค้าประเวณีด้วย และมาตรา 11 วรรคหนึ่ง บัญญัติความผิดและกำหนดโทษสำหรับผู้เป็นเจ้าของกิจการการค้าประเวณี ผู้ดูแล หรือผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณี หรือผู้ควบคุมผู้กระทำการค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณี ดังนั้น โดยวัตถุประสงค์ของบทบัญญัติดังกล่าวจึงมุ่งที่จะห้ามมิให้มีการจัดสถานที่สำหรับกิจการหรือสถานการค้าประเวณีเป็นสำคัญ โดยมิได้คำนึงถึงจำนวนบุคคลผู้กระทำการค้าประเวณีดังเช่นที่กำหนดเป็นความผิดเฉพาะสำหรับผู้เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาบุคคลไปเพื่อกระทำการค้าประเวณีตาม มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของร้านน้องแพ็ทคาราโอเกะซึ่งเป็นสถานการค้าประเวณีจึงเป็นความผิดกรรมเดียวตามฟ้องข้อ 1 (จ) เท่านั้น และลงโทษได้เพียงกระทงเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่าความผิดฐานนี้เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันและให้ลงโทษรวม 4 กระทง ตามจำนวนผู้เสียหายทั้งสี่ จึงไม่ถูกต้อง ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาว่ามีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 หรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้จำคุกกระทงละ 3 ปี ก่อนลดโทษให้อีกหนึ่งในสาม จึงเป็นการกำหนดโทษขั้นต่ำที่สุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ไม่อาจกำหนดโทษในสถานเบาไปกว่านี้ได้อีก ส่วนความผิดตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี กำหนดโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์ความผิดแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข และเมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ความผิดของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่จัดหาหญิงจำนวนมากเข้าทำงานในสถานการค้าประเวณี แม้เป็นความยินยอมของหญิงที่ทำการค้าประเวณี แต่ก็มีลักษณะอุกอาจกระทำการอย่างเปิดเผย มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่า ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก รวม 4 กระทง และความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อกระทำการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติป้องกันปราบปรามการค้าประเวณีฯ มาตรา 9 วรรคหนึ่ง รวม 4 กระทง เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ฯ มาตรา 11 วรรคหนึ่ง และให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันปราบปรามการค้าประเวณี ฯ มาตรา 11 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นั้น เห็นว่า ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นและเพื่อการอนาจารและความผิดฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลไปเพื่อกระทำการค้าประเวณีนั้น กฎหมายมุ่งที่จะบังคับแก่ผู้ที่เป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เพื่อการอนาจารหรือเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี ไม่ว่าการเป็นธุระจัดหาดังกล่าวกระทำขึ้นโดยวิธีการใด ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณีนั้น กฎหมายมุ่งที่จะบังคับแก่ผู้จัดการกิจการหรือสถานที่ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าประเวณีหรือเพื่อใช้ในการติดต่อหรือจัดหาบุคคลเพื่อกระทำการค้าประเวณีเป็นการเฉพาะ ดังนี้ เมื่อสภาพแห่งความผิดทั้งสองอย่างดังกล่าวมีความมุ่งหมายให้เกิดผลต่อผู้กระทำความผิดที่มีเจตนากระทำความผิดแตกต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรม มิใช่กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษา ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหานี้ขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่อย่างไรก็ตามเมื่อโจทก์ไม่ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษทั้งสองบทในความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเพื่อการอนาจารและฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อให้กระทำการค้าประเวณี ตามจำนวนผู้เสียหายรวม 4 กระทงกับฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณีอีก 1 กระทง ต่างหากได้ เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเพื่อการอนาจารและฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อให้กระทำการค้าประเวณีทั้งสี่กระทง เป็นการกระทำต่างกรรมกับความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแล ผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีหรือสถานการค้าประเวณี ให้ลงโทษฐานเป็นธุระจัดหาหญิงไปเพื่อให้กระทำการค้าประเวณีทั้งสี่กระทงตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีฯ มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share