คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยที่1ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการฐานผิดสัญญาและเรียกค่าสินค้าโจทก์ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาขอให้บังคับจำเลยที่1ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งโจทก์อุทธรณ์คำสั่งคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์มาฟ้องจำเลยที่1เป็นคดีนี้และต่อมาโจทก์จึงขอถอนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งเมื่อฟ้องแย้งในคดีเดิมของโจทก์เป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้และโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเดิมมีฐานะเป็นโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งในคดีเดิมด้วยการที่คดีเดิมอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ฟ้องจำเลยที่1คดีนี้จึงซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีของศาลจังหวัดสมุทรปราการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173แม้ต่อมาโจทก์ได้ถอนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งแล้วก็หาทำให้ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในขณะยื่นฟ้องมาแต่ต้นกลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2506 และมีการต่ออายุสัญญาทุก 5 ปีสัญญาฉบับสุดท้ายทำเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน2526 แต่ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทน ให้มีผลนับแต่วันที่ 2 มกราคม 2531 เป็นต้นไปซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ดังกล่าว นอกจากจะเป็นการใช้อำนาจของจำเลยที่ 1 โดยไม่ชอบและไม่เป็นที่รับรองของผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่แล้ว ยังเป็นการจงใจใช้สิทธิอันเป็นการฝ่าฝืนประเพณีปฏิบัติทางการค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับ จึงเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์ได้รับ จึงเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ นับตั้งแต่การบอกเลิกสัญญาของจำเลยมีผลถึงปี 2535 รวม 5 ปี ในอัตราปีละ1,000,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 5,000,000 บาท นอกจากนี้เมื่อโจทก์ได้แจ้งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับเดือนพฤจิกายน และธันวาคม 2530ปรากฏว่าจำเลยส่งสินค้าให้โจทก์เพียงบางส่วน ทำให้โจทก์ขาดกำไรอันเป็นรายได้อันควรได้ของโจทก์ เป็นเงิน 717,000 บาท และการไม่ส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้นเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสินค้าส่งลูกค้าทำให้ลูกค้าของโจทก์หมดความเชื่อถือและลดการสั่งซื้อสินค้าอื่น ๆของโจทก์ โจทก์จึงขายสินค้าของตนเองได้น้อยลงทำให้ขาดกำไรตามปกติไป 1,300,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 7,017,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1052/2531 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างบริษัทแจ๊กเจีย-สมิธแอนด์เนฟฟิว จำกัดโจทก์ บริษัทเอ.เอฟ.ที จำกัด จำเลย ซึ่งคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1ฟ้องโจทก์ โจทก์ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งโดยมูลหนี้คดีนี้เป็นมูลหนี้ตามฟ้องแย้งดังกล่าวศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง คดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสเตอร์ยาปิดแผลยี่ห้อเทนโซพลาสให้จำเลยที่ 1 โดยครั้งแรกมิได้ทำสัญญาตัวแทนเป็นหนังสือกันไว้ต่อมาปี 2517 จึงมีการทำสัญญาตัวแทนเป็นหนังสือและมีการต่อสัญญากันมาตลอดจนถึงสัญญาฉบับสุดท้ายทำเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน2526 ตามสำเนาสัญญาตัวแทนจำหน่าย เอกสารหมาย จ.15 ต่อมาปี2527 จำเลยที่ 1 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นและกรรมการโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.17 วันที่5 มิถุนายน 2530 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีหนังสือบอกเลิกสัญญาตัวแทนต่อโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่2 มกราคม 2531 ตามหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเอกสารหมาย จ.22วันที่ 8 กรกฎาคม 2531 จำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ ฐานผิดสัญญาและเรียกค่าสินค้า เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1052/2531 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการโจทก์ยื่นคำให้การแก้คดีและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้งโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์โจทก์ขออุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์คำสั่งโดยมีการอ่านคำสั่งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2532โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 25 พฤศจิกายน 2531 คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องเดียวกันกับที่โจทก์เคยฟ้องแย้ง
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 คดีนี้ซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1052/2531 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสองบัญญัติว่า “นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้วคดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา และผลแห่งการนี้ (1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น ฯลฯ” ปรากฏว่าเดิมจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้อง โจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยฐานผิดสัญญาและเรียกค่าสินค้า โจทก์ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1ผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยซึ่งมูลหนี้ตามฟ้องแย้งเป็นมูลหนี้ตามฟ้องคดีนี้ ศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้และต่อมาโจทก์จึงขอถอนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง เมื่อฟ้องแย้งในคดีเดิมของโจทก์เป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ และโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเดิมมีฐานะเป็นโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งในคดีเดิมด้วย การที่คดีเดิมอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 คดีนี้จึงซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1052/2531 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ต้องห้ามตามบทกฎหมาย>ดังกล่าวข้างต้น แม้ต่อมาจะปรากฏว่าโจทก์ได้ถอนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งแล้ว ก็หาทำให้ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในขณะยื่นฟ้องมาแต่ต้นกลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหรือละเมิดต่อโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน

Share