แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยประกอบกิจการธนาคาร มีคำสั่งห้ามพนักงานกระทำการเบียดเบียนลูกค้า โจทก์เป็นพนักงานสินเชื่อซึ่งอำนาจหน้าที่ ของโจทก์มีส่วนเป็นคุณและเป็นโทษแก่ลูกค้าได้ โจทก์ กู้ยืมเงินลูกค้าถึง 14 ราย เป็นเงิน 37,700 บาท หากโจทก์มีความจำเป็นต้องใช้เงินโดยสุจริตก็อาจกู้ยืม เพียงรายหนึ่งหรือสองรายก็น่าจะได้เงินพอกับจำนวนที่ ต้องการ การกระทำของโจทก์จึงเป็นการเบียดเบียนลูกค้าโดย อาศัยอำนาจหน้าที่และเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยอันเป็น กรณีร้ายแรง จำเลยมีอำนาจเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่าย ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานของธนาคารจำเลย ตำแหน่งพนักงานสินเชื่อ จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อห้ามของธนาคารจำเลย โดยไม่จ่ายค่าชดเชย ไม่จ่ายเงินค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และไม่จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอพิพากษาบังคับให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องมาจากโจทก์ประพฤติผิดวินัยตามข้อบังคับอย่างร้ายแรง โดยกู้ยืมเงินลูกค้าจำนวน 13 รายเป็นเงิน 37,700 บาท ทำให้จำเลยขาดความเชื่อถือจากบุคคลภายนอก โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดเพราะโจทก์ไม่ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีเอง จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาแล้วว่า โจทก์เป็นพนักงานสินเชื่อของธนาคารจำเลยมีอำนาจหน้าที่เสนอความเห็นต่อผู้จัดการสาขาของจำเลยหลายประการเป็นต้นว่าควรรับเกษตรกรรายใดเป็นลูกค้าหรือไม่ หากลูกค้าขอกู้เงินสมควรจะให้กู้หรือไม่มีลูกค้าที่มาขอกู้เงินนำที่ดินมาเป็นหลักประกัน มีหน้าที่ตรวจสอบและประเมินราคาที่ดินนั้น เมื่อหนี้ของลูกค้าถึงกำหนดชำระอาจเสนอความเห็นให้ผ่อนผันการชำระหนี้ต่อไปอีกได้ โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ไปกู้ยืมเงินลูกค้าของจำเลยถือว่าไม่เป็นกรณีร้ายแรง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่จะเสนอความเห็นต่อผู้จัดการสาขาของจำเลยดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่าอำนาจหน้าที่ของโจทก์มีส่วนเป็นคุณและเป็นโทษแก่ลูกค้าได้ กล่าวคือหากลูกค้ารายใดไม่ยอมให้กู้ยืมเงินโจทก์ก็อาจเสนอความเห็นต่อผู้จัดการสาขาได้ว่าลูกค้ารายนั้นมีความประพฤติไม่ดี ไม่สมควรให้กู้ยืม หรือรายที่หนี้ถึงกำหนดชำระก็อาจเสนอความเห็นว่าไม่สมควรให้ผ่อนผันการชำระหนี้ ทั้งยังได้ความว่าโจทก์ไปกู้ยืมเงินจากลูกค้าของจำเลยถึง 14 ราย เป็นเงิน 37,700 บาทซึ่งหากมีความจำเป็นต้องใช้เงินโดยสุจริตแล้วก็อาจกู้ยืมรายหนึ่งหรือสองรายก็น่าจะได้เงินพอกับจำนวนที่ต้องการ การที่โจทก์กู้เงินลูกค้าถึง 14 รายย่อมเป็นเหตุผลประกอบให้เห็นว่า โจทก์กระทำการเบียดเบียนลูกค้าของจำเลยโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยที่ 251/2526 เรื่อง ห้ามพนักงานกระทำการเบียดเบียนลูกค้าของธนาคาร ลงวันที่ 21 เมษายน 2526 จึงเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศประทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(3)จำเลยผู้เป็นนายจ้างมีอำนาจเลิกจ้าง ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
พิพากษายืน