แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงจะต้อง ได้ รับความเสียหายอันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูก หลอกลวงนั้นโดยตรง การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันหลอกลวงโจทก์ และผลการหลอกลวงเป็นเหตุให้จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายนั้น ถึง แม้โจทก์จะได้ รับความเสียหายจากการถูก ฟ้อง ความเสียหายดังกล่าวก็มิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้ และการที่จำเลยได้ ยื่นฟ้องโจทก์เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีนี้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวน 300,000 บาท โดยจำเลยทั้งสองเสนอหลักประกันการกู้ยืมเงินครั้งนี้เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 4942 ตำบลสามควายเผือก อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ด้วยวิธีโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ โดยตกลงกันว่าจำเลยทั้งสองจะต้องไถ่ถอนคืนภายในกำหนด 2 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน2529 จำเลยทั้งสองได้สมคบกันหลอกลวงโจทก์ โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยที่ 2 ได้ให้จำเลยที่ 1 นำต้นเงินและดอกเบี้ยที่กู้ยืมไปจากโจทก์มาชำระให้แก่โจทก์แล้ว ขอให้โจทก์ทำการโอนที่ดินแปลงที่เป็นหลักประกันคืน เมื่อโจทก์ได้รับเงินคืนแล้วและโอนที่ดินคืนจำเลยไป ปรากฏว่าแทนที่จำเลยที่ 1จะทำการโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 แต่กลับใส่ชื่อจำเลยที่ 1 โดยอ้างต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้กระทำเช่นนั้น โจทก์หลงเชื่อจึงยอมโอนชื่อคืนให้ในนามของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1นั้น จำเลยที่ 2 ร่วมสมคบรู้เห็นมาโดยตลอดจนเมื่อวันที่ 3สิงหาคม 2530 จำเลยที่ 2 โดยเจตนาทุจริตได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดนครปฐม ข้อหาผิดสัญญาเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์700,000 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสองก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดไต่สวน แล้ววินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวว่าความจริงเป็นอย่างไร ไม่เป็นฟ้องที่ระบุความพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ทั้งตามคำฟ้องก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะโจทก์ได้รับชำระหนี้เงินกู้คืนจากจำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องจำเลย พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยที่ 2 ได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสองก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4), 28 นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ความเสียหายที่ได้รับจะต้องเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูกหลอกลวงนั้นโดยตรง การที่จำเลยที่ 2ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ ถึงแม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการถูกฟ้อง ความเสียหายดังกล่าวก็มิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีนี้…”
พิพากษายืน.