คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนพิพาท การที่โจทก์ได้ให้บริษัทอื่นเช่าโรงเรือนพิพาทเป็นสำนักงานบางส่วน นอกนั้นโจทก์ใช้เป็นสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์ บางหลังใช้เป็นห้องรับประทานอาหารของพนักงานโจทก์ บางหลังใช้สำหรับติดตั้งเครื่องทำความเย็นและใช้เป็นโรงจอดรถของพนักงานโจทก์ถือไม่ได้ว่าโจทก์อยู่เอง หรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช2475 มาตรา 3 โจทก์จึงมิได้รับงดเว้นจากการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดการประเมินภาษีโรงเรือนของจำเลยที่ 2 และให้จำเลยร่วมกันคืนเงินภาษีโรงเรือนพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า การประเมินและคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์ใช้ประโยชน์ในโรงเรือนเพื่อเป็นสถานที่ดำเนินการประกอบอุตสาหกรรมและประกอบกิจการค้าตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ โดยใช้เป็นสถานที่ให้ลูกค้ามาติดต่อทำการซื้อขายสินค้า เป็นสถานที่อำนวยความสะดวกในการประกอบกิจการค้าและอุตสาหกรรมของโจทก์ แสดงว่าโจทก์ได้ใช้อาคารดังกล่าวแสวงหาประโยชน์ตอบแทนให้กับบริษัทโจทก์โดยตรง มิได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยแท้จริง เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 หมายถึงการใช้โรงเรือนเพื่ออยู่อาศัยเพื่อกินอยู่หลับนอน ลักษณะการใช้โรงเรือนของโจทก์จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่25 พฤษภาคม 2526 ว่า ทั้งสองฝ่ายรับกันว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้เหมือนกับคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 9548/2523 ของศาลแพ่ง (คือคำพิพากษาฎีกาที่ 3602/2525) และทั้งสองฝ่ายขออ้างสำนวนดังกล่าวและสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 16490/2523 ของศาลแพ่ง (คือคำพิพากษาฎีกาที่ 935/2526) กับเอกสารหมาย จ.ล.1-5 เป็นพยาน
ตามข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันดังกล่าวได้ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือน (ตึก 8 ชั้น) เลขที่ 1043 ซึ่งโจทก์ได้ให้บริษัทอื่นเช่าเป็นสำนักงานเฉพาะชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 และชั้นที่ 8บางส่วน นอกนั้นโจทก์ใช้เป็นสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์ โรงเรือน (ตึก 2 ชั้น) เลขที่ 1045 โจทก์ใช้เป็นห้องรับประทานอาหารของพนักงานของโจทก์ และโรงเรือนชั้นเดียวอีก 2 หลังโจทก์ใช้สำหรับติดตั้งเครื่องทำความเย็น และใช้เป็นโรงจอดรถของพนักงานของโจทก์ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าโรงเรือนในส่วนที่โจทก์ใช้เป็นสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจใช้เป็นห้องรับประทานอาหารและใช้ติดตั้งเครื่องทำความเย็น กับใช้เป็นโรงจอดรถดังกล่าว โจทก์จะได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนตามพระราชบัญญัติ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 10หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 10 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3 บัญญัติว่า “โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา และซึ่งมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ท่านให้งดเว้นจากบทบัญญัติแห่งภาคนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นไป จากบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์ใช้โรงเรือนเป็นสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจก็ดี ใช้เป็นห้องรับประทานอาหารของพนักงานของโจทก์หรือใช้ติดตั้งเครื่องทำความเย็นและใช้เป็นโรงจอดรถของพนักงานของโจทก์ก็ดีถือไม่ได้ว่าโจทก์อยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา ตามความหมายของบทกฎหมายมาตราดังกล่าว เพราะคำว่า “อยู่” ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวเองว่า ว่าหมายความถึง พักหรืออาศัย แม้โจทก์จะเป็นนิติบุคคลการอยู่เองของโจทก์ก็ต้องอยู่ในความหมายของพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 10 ดังกล่าว เช่นกันตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 4005/2528 ระหว่างบริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด โจทก์ กรุงเทพมหานคร กับพวก จำเลย ซึ่งพิพากษาโดยมติที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ 321/2518, 660/2520และ 3602/2525 ที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้นเป็นคำพิพากษาฎีกาที่ถูกทับโดยคำพิพากษาฎีกาที่ 4005/2528 แล้วทั้งสิ้น โจทก์จึงมิได้รับงดเว้นการเสียภาษีโรงเรือนตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน จำเลยไม่ได้แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความในชั้นฎีกาให้

Share