แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นออกไป20วันตามคำร้องของจำเลยแล้วเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลการที่จำเลยปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลและมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอีกในวันสุดท้ายเมื่อไม่มีเหตุที่ศาลจะอนุญาตให้ได้และศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องจำเลยก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ได้สั่งไว้เดิมหากศาลกำหนดระยะเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายใน7วันอีกย่อมมีผลเท่ากับว่าศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาให้จำเลยออกไปอีก7วันนั่นเองทั้งกรณีไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะรับหรือไม่รับคำคู่ความที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลอีกจึงชอบแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา229บัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วยดังนั้นหากผู้อุทธรณ์ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์แล้วศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจรับอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์นั้นเสียการที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมนั้นต่อศาลภายใน20วันศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตตามขอกับมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยด้วยทั้งที่จำเลยยังไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาจึงข้ามขั้นตอนของกระบวนพิจารณาชั้นตรวจรับอุทธรณ์เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา27ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนได้เองการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้วมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเพราะเหตุจำเลยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงชอบแล้ว เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา236เท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายอุทธรณ์ของจำเลยเพราะเหตุจำเลยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมตามมาตรา229ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์นั้นจึงไม่ชอบด้วยมาตรา236
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินตามเช็คจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2536จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาภายใน 20 วันศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2536 ให้รับอุทธรณ์และอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ให้แก่โจทก์ตามขอ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2536 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลาที่ขยาย จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวออกไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต ยกคำร้อง
ครั้นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับอุทธรณ์และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์จำเลยทั้งสองในวันเดียวกันจำเลยทั้งสองได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ให้แก่โจทก์จำนวน 29,197.50 บาท มาวางต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองวางเงินเลยกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้วางเงินและศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์แล้ว จึงไม่รับเงินที่จำเลยทั้งสองนำมาวาง
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่เพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์รวมทั้งคำสั่งใหม่ที่ไม่รับอุทธรณ์ และมีคำสั่งให้จำหน่ายอุทธรณ์จำเลยทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2536 ออกจากสารบบความเพราะเหตุทิ้งฟ้องอุทธรณ์
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า กรณีมีเหตุสมควรที่ศาลจะสั่งอนุญาตให้ขยายเวลาในการวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำร้องลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2536 ออกไปอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์ปัญหาข้อนี้มาด้วยแต่ศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์แต่จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวจำนวน 29,197.50 บาท ไปอีก 20 วันศาลชั้นต้นอนุญาต ซึ่งจะครบกำหนดวางเงินค่าธรรมเนียมวันที่22 กุมภาพันธ์ 2536 ในวันดังกล่าวจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก 30 วัน ซึ่งการขอขยายระยะเวลาดังกล่าวจะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 จำเลยทั้งสองอ้างเหตุขอขยายระยะเวลาครั้งแรกว่า จำเลยทั้งสองมีภาระที่จะต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก มีเงินไม่พอที่จะเสียค่าขึ้นศาลค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์และค่าทนายความในคราวเดียวกันขอขยายระยะเวลาออกไป 20 วันเพื่อจำเลยหาเงินหรือจำหน่ายทรัพย์สินบางส่วนและนำเงินมาวางศาลในการขอขยายระยะเวลาครั้งที่สอง จำเลยทั้งสองก็อ้างเหตุทำนองเดียวกัน เห็นว่าเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีเพียง 29,197.50 บาท และศาลชั้นต้นก็ได้อนุญาตให้ขยายระยะเวลาให้จำเลยทั้งสองถึง 20 วัน ตามที่จำเลยทั้งสองร้องขอแล้ว การที่จำเลยทั้งสองไม่นำเงินมาวางแต่กลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาออกไปอีก โดยอ้างเหตุทำนองเดียวกันกรณีไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาแก่จำเลยทั้งสองอีกจึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อไปว่า เมื่อศาลไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาก็ควรกำหนดระยะเวลาให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลภายใน 7 วัน เพราะวันที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาดังกล่าวเป็นวันครบกำหนดนั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไป 20 วันแล้วจำเลยทั้งสองย่อมทราบดีว่าครบกำหนดเวลาเมื่อใด เป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล การที่จำเลยทั้งสองปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลและมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอีกในวันสุดท้าย เมื่อไม่มีเหตุที่ศาลจะอนุญาตให้ได้และศาลได้มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ได้สั่งไว้เดิม หากศาลกำหนดระยะเวลาให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายใน 7 วันดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาย่อมมีผลเท่ากับว่า ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาให้จำเลยทั้งสองออกไปอีก 7 วัน นั่นเอง ทั้งกรณีไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนที่จะรับหรือไม่รับคำคู่ความ ที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลอีกจึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสองฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมชอบที่ศาลจะมีคำสั่งให้รับค่าธรรมเนียมดังกล่าวจากจำเลยทั้งสองนั้นเห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้วจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะรับเงินดังกล่าวไว้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายว่า แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์แล้วแต่จำเลยทั้งสองก็ยังไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมแทนโจทก์กระบวนพิจารณาจึงยังไม่ขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 บัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ดังนั้น หากผู้อุทธรณ์ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์แล้ว ศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจรับอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์นั้นเสีย คดีนี้จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์โดยไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมนั้นต่อศาลภายใน 20 วัน และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายในกำหนด 20 วัน กับมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองด้วย ทั้งที่จำเลยทั้งสองยังไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา เช่นนี้ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงข้ามขั้นตอนของกระบวนการพิจารณาชั้นตรวจรับอุทธรณ์ เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้เอง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้วมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเพราะเหตุจำเลยทั้งสองไม่วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงชอบแล้วที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งให้รับอุทธรณ์แล้วมีคำพิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่เพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ รวมทั้งคำสั่งใหม่ที่ไม่รับอุทธรณ์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่เมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 เท่านั้น ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเพราะเหตุจำเลยทั้งสองไม่วางเงินค่าธรรมเนียมตามมาตรา 229 ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์นั้น จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 236 แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง