คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3364/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 1 และ ห.มาที่บ้านโจทก์ร่วมระหว่างที่จำเลยที่ 1 และ ห.ขึ้นไปบนบ้านของโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2กลับรถหันหน้าออกถนนใหญ่และติดเครื่องยนต์ไว้ตลอดเวลา เมื่อจำเลยที่ 1 และ ห.กระทำความผิดแล้ววิ่งออกจากบ้านมาขึ้นรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 จอดคอยอยู่แล้วหลบหนีไปด้วยกัน พฤติการณ์เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และ ห.วางแผนกระทำผิดว่าเมื่อจำเลยที่ 1 และ ห.ฉุดคร่าโจทก์ร่วมลงจากบ้านแล้ว จำเลยที่ 2 รับหน้าที่คอยพาตัวโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 กับ ห.หลบหนีไปเช่นนี้ ถือได้ว่า เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ และร่วมกระทำความผิดด้วยกัน จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการในการกระทำผิดต่อเสรีภาพด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309, 310, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
นางสาวสมจง คำพิลานนท์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง และ 310 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียว ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 1 ปี และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3,6, 7 ฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก1 ปี และฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนเกิดเหตุ โจทก์ร่วมได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน นายประดิษฐ์ เรียกให้นายใบเปิดประตูจำเลยที่ 1 เดินตามเข้ามาในบ้านด้วย เมื่อเข้ามาแล้วโจทก์ร่วมได้ออกมาคุยด้วย ขณะที่นั่งคุยกัน โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ได้กระชากมือโจทก์ร่วมลุกขึ้นและรัดคอโจทก์ร่วมแล้วใช้อาวุธปืนจี้หน้าอกโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมสะบัดหลุด จำเลยที่ 1 ต่อสู้กับนายสุดใจ แล้วจำเลยที่ 1 วิ่งหนีไปขึ้นรถที่จอดคอยอยู่หลบหนีไปได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์จริงส่วนจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 1 กับนายหำมาที่บ้านโจทก์ร่วม ระหว่างที่จำเลยที่ 1 และนายหำขึ้นไปบนบ้านของโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 กลับรถหันหน้าออกถนนใหญ่และติดเครื่องยนต์ไว้ตลอดเวลา เมื่อจำเลยที่ 1 กับนายหำกระทำความผิดแล้ววิ่งออกมาจากบ้านโจทก์ร่วมมาขึ้นรถยนต์ที่จำเลยที่ 2จอดคอยอยู่แล้วหลบหนีไปด้วยกันเช่นนี้ พฤติการณ์เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และนายหำวางแผนกระทำผิดโดยเมื่อจำเลยที่ 1 กับนายหำฉุดคร่าโจทก์ร่วมลงจากบ้านแล้ว จำเลยที่ 2 รับหน้าที่คอยพาตัวโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 กับนายหำหลบหนีไป เช่นนี้ ถือได้ว่า เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำและร่วมกระทำความผิดด้วยกัน จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวการในการกระทำความผิดต่อเสรีภาพด้วย
พิพากษายืน

Share