คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3363/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บัญชีเดินสะพัดที่ ส. ทำกับโจทก์เป็นบัญชีที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืน ดังนั้นแม้บัญชีจะหยุดเดินสะพัดโดยที่ ส. มิได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากโจทก์อีกเลยจนถึงวันฟ้องคดีนับเป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และ ส. ยังไม่ได้ตกลงเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพื่อหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้ที่มีอยู่ต่อกันสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับ ส. ก็ยังคงมีอยู่ตลอดไป หาได้ยกเลิกหรือสิ้นสุดลงไม่ สัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้คืนจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาต่อกันหรือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้หักทอนบัญชีและให้ชำระหนี้ที่มีต่อกันเสียแล้วเท่านั้น โจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืนไว้ส่งไปถึง ส. วันที่ 30 เมษายน 2534 และเรียกร้องให้ชำระหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือทวงถาม ถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกและหักทอนบัญชีในวันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ที่โจทก์ผ่อนผันให้คือวันที่ 16 พฤษภาคม 2534โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 4 ธันวาคม 2535 ยังไม่เกิน 10 ปีจึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยาของนายสุรชัย วิวิธจินดาส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2520นายสุรชัยได้ขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์โดยมีข้อตกลงว่านายสุรชัยจะเบิกเงินไปจากโจทก์ตามจำนวนและเวลาที่ต้องการโดยใช้เช็คซึ่งได้ให้ตัวอย่างลายมือชื่อกับโจทก์ไว้ด้วย และถือว่าเช็คกับบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเป็นหลักฐานแห่งการเบิกเงินแสดงการเป็นหนี้ต่อกันพร้อมกับยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นตามจำนวนเงินที่เบิกไปในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนดไว้หลังจากนั้นนายสุรชัยได้เดินสะพัดทางบัญชีเรื่อยมา จนครั้งสุดท้ายวันที่ 30 พฤศจิกายน 2524 นายสุรชัยเป็นหนี้ต้นเงินจำนวน 46,731.49 บาท หลังจากนั้นก็ไม่ได้เคลื่อนไหวทางบัญชีอีกเลย โจทก์บอกเลิกสัญญากับนายสุรชัยและให้ชำระหนี้ แต่นายสุรชัยเพิกเฉย ต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2535 โจทก์ทราบว่านายสุรชัยถึงแก่ความตาย โจทก์จึงบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทและเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกของนายสุรชัยชำระหนี้ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 87,334.87 บาท รวมเป็นหนี้ที่ค้างชำระทั้งสิ้น134,066.36 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน134,066.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน46,371,.49 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญาระหว่างนายสุรชัยกับโจทก์เป็นสัญญามิได้กำหนดระยะเวลาให้หักทอนบัญชีกัน ดังนั้นทุกหกเดือนสัญญาระหว่างโจทก์และนายสุรชัยจึงต้องหักทอนบัญชีกันตามกฎหมายซึ่งจะครบกำหนดหักทอนบัญชีในวันที่ 30 พฤษภาคม 2525ภายหลังจากนั้นโจทก์สามารถบอกเลิกสัญญาและเรียกให้นายสุรชัยชำระหนี้ที่ค้างได้ แต่โจทก์ก็เพิกเฉย โจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 4 ธันวาคม 2535 พ้นกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนายสุรชัยถึงแก่ความตาย สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับนายสุรชัยสิ้นสุดลง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากนายสุรชัยได้ และเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของนายสุรชัยเกินกว่ากำหนด 1 ปี นับแต่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงความตายของนายสุรชัยเจ้ามรดกฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความเช่นกัน เนื่องจากไม่มีทรัพย์มรดกของนายสุรชัยตกทอดมายังจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บัญชีเดินสะพัดที่นายสุรชัยมีต่อโจทก์เป็นบัญชีที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืน ดังนั้นแม้บัญชีจะหยุดเดินสะพัดโดยที่นายสุรชัยมิได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากโจทก์อีกเลยจนถึงวันฟ้องคดีนับเป็นเวลาเกิน10 ปี แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และนายสุรชัยยังไม่ได้ตกลงเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพื่อหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้ที่มีอยู่ต่อกัน สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับนายสุรชัยก็ยังคงมีอยู่ตลอดไปหาได้ยกเลิกหรือสิ้นสุดลงไม่สัญญาบัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้คืนจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาต่อกันหรือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้หักทอนบัญชีและให้ชำระหนี้ที่มีต่อกันเสียแล้วเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงของคดีนี้ฟังได้ว่าโจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดส่งไปถึงนายสุรชัยเมื่อวันที่30 เมษายน 2534 และเรียกร้องให้นายสุรชัยชำระหนี้ที่ค้างชำระแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือทวงถามย่อมถือได้ว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับนายสุรชัยเลิกและหักทอนบัญชีกันเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2534 นี้เองอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อนายสุรชัยเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ที่โจทก์ผ่อนผันให้แก่นายสุรชัยคือเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2534 เป็นต้นไปด้วยเหตุนี้ การที่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534จังยังไม่เกิน 10 ปี สิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อนายสุรชัยจึงยังไม่ขาดอายุความ โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยทั้งสองผู้เป็นทายาทของนายสุรชัยให้รับผิดต่อโจทก์ได้
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้นจำนวน46,731,49 บาท พร้อมดอกเบี้ยค้างชำระอีกจำนวน 87,334.87 บาทรวมเป็นเงิน 134,066.36 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 46,731.49 บาทนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share