แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 ต่างขับรถชนกันโดยประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 5 ก่อน จึงให้จำเลยที่ 5 รับผิดสองในสามส่วนให้จำเลยที่ 1 รับผิดหนึ่งในสามส่วนและเมื่อหักกลบลบกันแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 5 จะต้องรับผิดมีมากกว่า จึงสมควรให้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 5 ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 1 เป็นพับ
รถที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นของจำเลยที่ 3 มอบให้จำเลยที่ 2 ใช้จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 3 นำบุตรของจำเลยที่ 2 ไปส่งโรงเรียนซึ่งมิใช่กิจการของจำเลยที่ 3 การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่การกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จหาได้ไม่เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาและพิพากษาให้เรียกนายไชย ตันติกุลานันท์ ว่าโจทก์ นายวรการ ทรงคุ้มครอง ว่าจำเลยที่ ๑ นางสาวประไพเหตระกูล ว่าจำเลยที่ ๒ บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ว่าจำเลยที่ ๓ บริษัทประกันคุ้มภัย จำกัด ว่าจำเลยที่ ๔ และพันเอกเชาว์ เผือกใจแผ้ว ว่าจำเลยที่ ๕
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งส่วนบุคคลหมายเลขทะเบียน ๒ ข-๓๑๙๓ กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งส่วนบุคคลคันหมายเลขทะเบียน ๒ ง-๒๐๙๔ กรุงเทพมหานครและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในทางการที่จ้างและตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไปตามถนนวิทยุ จากสี่แยกวิทยุไปทางสี่แยกเพลินจิตและขับอยู่ในช่องกลางถนนขณะเดียวกันจำเลยที่ ๕ ขับรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน ๓ ค-๒๗๒๒ กรุงเทพมหานคร ในช่องทางซ้ายมือโฉมหน้าไปทางเดียวกัน เมื่อถึงบริเวณหน้าสถานทูตอเมริกัน จำเลยที่ ๑ และที่ ๕ ขับรถด้วยความประมาท จำเลยที่ ๕ ขับรถเลี้ยวขวาเข้าไปในสถานทูตอเมริกัน จำเลยที่ ๑ ขับรถไปในช่องทางขวาชิดเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนด้วยความเร็วสูง จึงหักรถและแซงรถที่จำเลยที่ ๕ ขับไม่พ้น เป็นเหตุให้รถเฉี่ยวชนกันรถที่จำเลยที่ ๑ ขับเสียหลักไปเฉี่ยวชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ ค-๑๖๙๕ กรุงเทพมหานคร ซึ่งแล่นสวนทางมาแล้วเลยไปชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ ข-๓๑๙๓ กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ขับตามหลังมา รถโจทก์กระเด็นไปชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๙ ค-๖๓๓๕ กรุงเทพมหานคร ซึ่งกระเด็นไปถูกรถยนต์เก๋งรับจ้างสาธารณะหมายเลขทะเบียน ๒ ท-๒๔๔๑ กรุงเทพมหานครอีกทอดหนึ่งความประมาทของจำเลยที่ ๑ ที่ ๕ ทำให้โจทก์เสียหายรวม ๕๔,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๔ ผู้รับประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๕๔,๐๐๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ให้การเป็นใจความว่า จำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลและเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ ง-๒๐๙๔ แต่ผู้เดียว จำเลยที่ ๒ ไม่มีส่วนด้วยจำเลยที่ ๑ มิใช่ลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๕ ฝ่ายเดียว จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถเร็วและไม่ได้ประมาทจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๕ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อกระทำต่อจำเลยที่ ๕ และโจทก์ จำเลยที่ ๕ จึงไม่ต้องรับผิด
สำนวนที่สอง จำเลยที่ ๕ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นจำเลยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๓ ขับรถด้วยความเร็วสูงและประมาทชนรถของจำเลยที่ ๕ เสียหายรวมทั้งสิ้น ๓๔,๓๗๙ บาท ๔๐ สตางค์ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ให้ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน ๓๔,๓๗๙ บาท ๔๐ สตางค์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิใช่ลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ และมิได้ขับรถโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๕ ที่ขับรถเลี้ยวขวากระทันหันและกระชั้นชิด
สำนวนที่สาม จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๕ ว่าขับรถด้วยความประมาทจึงเกิดชนกับรถจำเลยที่ ๓ เป็นเหตุให้รถกระเด็นไปถูกรถคันอื่นเสียหาย รวมค่าเสียหายของจำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๔๔,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๔ จ่ายค่าซ่อมรถไปแทน ๔๒,๕๖๖ บาทขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ ๕ ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๓ พร้อมทั้งดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๔๕,๗๑๔ บาท กับใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแก่จำเลยที่ ๔ เป็นเงิน ๔๓,๕๖๑ บาท และให้ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๔๔,๐๐๐ บาทแก่จำเลยที่ ๓ และในต้นเงิน ๔๒,๕๖๖ บาท แก่จำเลยที่ ๔ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๕ ให้การว่าจำเลยที่ ๕ มิได้ขับรถโดยประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าของแต่มิใช่นายจ้างของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๔ ผู้รับประกันภัยก็ไม่ต้องรับผิดด้วยพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชดใช้เงินแก่โจทก์ ๕๔,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้เงินแก่จำเลยที่ ๕ เป็นจำนวน ๒๔,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ ที่ ๔
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๕ มีส่วนประมาทอยู่ด้วยและประมาทมากกว่าจำเลยที่ ๑ ความประมาทของจำเลยที่ ๕ มีสองในสามส่วน ของจำเลยที่ ๑ มีหนึ่งในสามส่วน และค่าเสียหายของโจทก์เป็นเงิน ๓๙,๐๐๐ บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๓,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๕ เป็นเงิน ๗,๘๕๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ ๕ ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท ชำระแก่จำเลยที่ ๔ เป็นเงิน ๑๙,๓๓๓ บาท ๓๒ สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยในต้นเงินที่จะต้องชำระดังกล่าวนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งห้าฎีกา
ในปัญหาที่ว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ หรือจำเลยที่ ๕ หรือทั้งสองฝ่าย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าจำเลยที่ ๕ ต้องการขับรถเลี้ยวขวาจากถนนวิทยุเข้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา จึงต้องขับรถชิดทางด้านขวาสุดของทางเดินรถก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่าสามสิบเมตรตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๑(๒) แต่จำเลยที่ ๕ กลับขับรถไปในช่องเดินรถซ้ายสุดแล้วไปหยุดรอเลี้ยวขวาอยู่ที่หัวเกาะกลางถนน จำเลยที่ ๕ ยังเบิกความว่าขณะที่เลี้ยวรถเข้าสถานทูตไม่เห็นรถของจำเลยที่ ๑ เพราะไม่ได้หันไปดู จ่าสิบตำรวจประสงค์ เหรียญประชา เบิกความว่าได้ห้ามรถที่แล่นมาจากทางถนนเพลินจิตให้หยุดด้านเดียว ยังมิได้ห้ามรถด้านที่มาจากทางสวนลุมพินี จำเลยที่ ๕ ก็เคลื่อนรถเลี้ยวออกมา พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๕ จึงเป็นการขับรถโดยประมาท และโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น ส่วนจำเลยที่ ๑ เบิกความว่าขับรถเร็วประมาณ ๖๐-๗๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเห็นจำเลยที่ ๕ เลี้ยวรถออกมา จำเลยที่ ๑ หักรถหลบไปทางขวาแล้วหักไปทางด้านซ้ายโดยมิได้เหยียบห้ามล้อ เหยียบแต่คันเร่งจึงเฉี่ยวชนรถยนต์ของจำเลยที่ ๕ ที่กันชนและบังโคลนหน้าขวาแล้วเลยไปเฉี่ยวชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๒ ค-๑๖๙๕ กรุงเทพมหานคร แล้วไปชนรถยนต์ของโจทก์เต็มหน้ารถเป็นเหตุให้รถยนต์โจทก์กระดอนไปชนรถที่หยุดอยู่ข้างหลังจนรถคันนี้กระดอนไปชนรถแท็กซี่อีกคันหนึ่งทั้งจำเลยที่ ๑ ก็ยอมรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าขับรถโดยประมาทจริง จำเลยที่ ๑ จึงเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทด้วย เมื่อเหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๕ ก่อนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ ๕ รับผิดสองในสามส่วน จำเลยที่ ๑ รับผิดหนึ่งในสามส่วนศาลฎีกาจึงเห็นว่าเหมาะสมแล้วฎีกาของโจทก์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเห็นว่าแม้รถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับจะเป็นของจำเลยที่ ๓ แต่ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยที่ ๓ สั่งให้จำเลยที่ ๑ ขับรถในวันเกิดเหตุ นายชาลี หนูสุวรรณ เบิกความตรงกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นครูโรงเรียนอนุบาลแสงวิทย์ ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของโรงเรียนนี้ จำเลยที่ ๑ ขับรถคันเกิดเหตุให้จำเลยที่ ๒ และไม่ได้รับเงินเดือนจากบริษัทจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๒ เบิกความสอดคล้องกับจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ ๒ วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ขับรถนำบุตรของจำเลยที่ ๒ไปส่งที่โรงเรียรมาแตร์ซึ่งมิใช่กิจการของบริษัทจำเลยที่ ๓ การกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ จึงมิใช่การกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาว่า จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ผู้รับประกันภัยไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ ๕ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาเกี่ยวกับดอกเบี้ย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้นในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จหาได้ไม่ เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ และโดยที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ ๕ รับผิดสองในสามส่วน จำเลยที่ ๑ รับผิดหนึ่งในสามส่วน เมื่อหักกลบลบกันแล้วส่วนที่จำเลยที่ ๕ จะต้องรับผิดมีมากกว่าจึงสมควรให้ค่าเสียหายของจำเลยที่ ๕ เป็นต้นไป ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๑ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ ๕ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑๓,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง(๓ กรกฎาคม ๒๕๒๓) จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์