คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3356/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะหรือร่วมกันรับของโจร ย่อมแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษฐานใดฐานหนึ่งตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นพิจารณา ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานใดฐานหนึ่งเท่านั้น และเมื่อลงโทษฐานใดแล้วต้องถือว่าเป็นการลงโทษตามฟ้องแล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันรับของโจร แม้จะแตกต่างจากศาลชั้นต้นก็ตาม กรณีถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องแล้ว โจทก์ไม่ชอบที่จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะได้อีก ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะมานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 336, 336 ทวิ, 357 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ฉบับ บัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 1 ฉบับ หนังสือพาสปอร์ต 1 เล่ม บัตรประกันสังคม 1 ฉบับ ต่างหูเงิน 3 ข้าง ราคา 150 บาท และกระเป๋าหนังสีดำ 1 ใบ ราคา 300 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุกคนละ 3 ปี ขณะจำเลยทั้งสองกระทำความผิดอายุ 19 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้ตามมาตรา 76 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ฉบับ บัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 1 ฉบับ หนังสือพาสปอร์ต 1 เล่ม บัตรประกันสังคม 1 ฉบับ ต่างหูเงิน 3 ข้าง ราคา 150 บาท และกระเป๋าหนังสีดำ 1 ใบ ราคา 300 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ยกฟ้องข้อหารับของโจร
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยทั้งสองอายุ 19 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ภายในกำหนดระยะเวลาที่รอการลงโทษตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ให้จำเลยทั้งสองละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองเดียวกันนี้อีก กับให้จำเลยทั้งสองกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยทั้งสองเห็นสมควรมีกำหนด 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องข้อหาวิ่งราวทรัพย์ กับให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่ผู้เสียหายนั่งอยู่ในร้านสวนอาหารสองศรีโดยวางกระเป๋าถือบนโต๊ะข้างหน้าต่างบานเกร็ดของร้าน มีคนร้ายได้ยื่นมือเข้ามาช่องหน้าต่างหยิบเอากระเป๋าถือดังกล่าววิ่งหนีไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของคนร้ายอีก 2 คน ที่จอดรออยู่หลบหนีไปด้วยกัน ต่อมาเจ้าพนักงานมาตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้วติดตามจับกุมพลทหารอุดรได้ที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 พร้อมสร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 สลึง 1 เส้น ต่างหูเงิน 1 ข้าง และเงินสด 1,050 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินบางส่วนของผู้เสียหายที่เก็บอยู่ในกระเป๋าถือที่คนร้ายหยิบเอาไปเป็นของกลาง ต่อมาวันเดียวกันเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสองได้ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ดังนี้ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะหรือร่วมกันรับของโจร ย่อมแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษฐานใดฐานหนึ่งตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นพิจารณา ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานใดฐานหนึ่งเท่านั้น และเมื่อลงโทษฐานใดแล้วต้องถือว่าเป็นการลงโทษตามฟ้องแล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันรับของโจร แม้จะแตกต่างจากศาลชั้นต้นก็ตาม กรณีถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องแล้ว โจทก์ไม่ชอบที่จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะได้อีก ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะมานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share