แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สาระสำคัญของหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 อยู่ที่มีการแสดงให้เห็นว่า มีการกู้ยืมเงินกันไม่ได้บังคับถึงกับจะต้องระบุชื่อของผู้ให้กู้ไว้ด้วย เอกสารที่จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้กู้ยืม มีสาระสำคัญแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินของผู้ให้กู้ซึ่งมิได้ระบุชื่อลงไว้จำนวนเท่าใด เมื่อวันเดือนปีใด ถือได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือที่จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้มิได้ระบุว่ากู้ยืมเงินจากผู้ใด โจทก์ก็นำสืบพยานบุคคลอธิบายให้เห็นได้ว่า โจทก์เป็นผู้ให้จำเลยทั้งสองกู้ยืม ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) จำเลยทั้งสองเป็นหนี้เงินกู้ยืมต่อโจทก์ เมื่อไม่มีการกำหนดเวลาชำระหนี้ต่อกันไว้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลันโจทก์บรรยายว่า ได้ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระแต่ตามคำฟ้องและพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทวงถามวันเวลาใด จึงต้องฟังให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองผิดนัดในวันฟ้องนั้นเอง จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งคือ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2528 จำนวน 1,000,000 บาท วันที่5 มีนาคม 2528 จำนวน 250,000 บาท วันที่ 15 มีนาคม 2528 จำนวน50,000 บาท และวันที่ 22 พฤษภาคม 2528 จำนวน 70,000 บาทตามเอกสารการกู้ยืมท้ายฟ้อง ยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ15 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกเดือน ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้อง ลายมือชื่อในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยทั้งสอง และเอกสารดังกล่าวไม่มีข้อความแสดงว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์และมีกำหนดชำระเงินคืนเมื่อใด จึงจะนำมารับฟังว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,370,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้โดยแน่ชัดว่า จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงตามหลักฐานเป็นหนังสือที่จำเลยทั้งสองทำให้แก่โจทก์ไว้ตามเอกสารหมาย จ.7
เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในประเด็นข้ออื่น ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปในข้อแรกมีว่า เอกสารหมาย จ.7เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 บัญญัติว่า การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ฉะนั้น สาระสำคัญของหลักฐานเป็นหนังสือตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงอยู่ที่ว่า มีการแสดงให้เห็นว่า มีการกู้ยืมเงินกันก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้บังคับถึงกับจะต้องระบุชื่อของผู้ให้กู้ไว้ด้วย หรือหากไม่ระบุลงไว้จะต้องถือว่าไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม เมื่อเอกสารหมาย จ.7 มีสาระสำคัญแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินของผู้ให้กู้ซึ่งมิได้ระบุชื่อลงไว้ จำนวนเท่าใด เมื่อวันเดือนปีใด ทั้งจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้กู้ยืมครบถ้วนตามสาระสำคัญของบทกฎหมายดังกล่าวแล้วเอกสารหมาย จ.7 จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในข้อต่อไปมีว่า การที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์เป็นผู้ให้จำเลยทั้งสองกู้ยืมตามเอกสารหมาย จ.7 นั้นเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)หรือไม่ เห็นว่า แม้หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือที่จำเลยทั้งสองลงลายชื่อไว้ตามเอกสารหมาย จ.7 นั้น จะมิได้ระบุว่ากู้ยืมเงินจากผู้ใด โจทก์ก็นำสืบพยานบุคคลอธิบายให้เห็นได้ว่า โจทก์เป็นผู้ให้จำเลยทั้งสองกู้ยืม เพราะการกู้ยืมเงินตามเอกสารดังกล่าวย่อมจะต้องมีผู้ให้กู้ยืม เมื่อมิได้ระบุชื่อผู้ให้กู้ยืมลงไว้ให้ปรากฏ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้กู้ยืมย่อมมีสิทธิ์ที่จะนำสืบอธิบายให้ชัดแจ้งว่า ผู้ให้กู้ยืมตามเอกสารหมาย จ.7 คือโจทก์ได้ ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) แต่อย่างใด
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ตั้งแต่วันฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้เงินกู้ยืมต่อโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า มีการกำหนดเวลาชำระหนี้ต่อกันไว้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ได้โดยพลันตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า ได้ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธในข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว ถือได้ว่า จำเลยทั้งสองรับตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว แต่ตามคำฟ้องและพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่า โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองอันจะเป็นเหตุให้ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดวันเวลาใด จึงต้องฟังให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองผิดนัดในวันฟ้องนั้นเองจำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ ในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น