คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3352/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมาบ้านผู้เสียหายทั้งสองแล้วขอดูเช็คจำนวน 11 ฉบับที่จำเลยมอบแก่ผู้เสียหายที่ 1 ไว้เพื่อชำระหนี้เงินกู้ว่ามียอดเงินรวมทั้งหมดเท่าใดผู้เสียหายที่ 1 หลงเชื่อมอบเช็คทั้ง 11 ฉบับให้จำเลยดู จำเลยได้เอาเก็บใส่กระเป๋าทำทีรื้อค้นของในกระเป๋าอยู่ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วบอกผู้เสียหายที่ 1 ว่าเช็คของจำเลยหมด ขอมอบเช็คเอกสารหมาย จ.1 แก่ผู้เสียหายที่ 1 ไว้แทนซึ่งเป็นเช็คที่จำเลยทราบว่าผู้ออกเช็คเพิ่งถึงแก่ความตายโดยอุบัติเหตุในวันเดียวกันนั้น และบอกว่าวันที่ 3 พฤศจิกายน 2532 จำเลยจะนำเงินมาชำระให้โดยไม่ต้องนำเช็คเอกสาร-หมาย จ.1 ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโดยจำเลยยืนยันว่าเป็นเช็คที่ได้รับชำระหนี้มา ถึงวันนัดจำเลยไม่นำเงินมาชำระกลับบอกให้ผู้เสียหายทั้งสองนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ผู้เสียหายที่ 1 ให้ผู้เสียหายที่ 2 นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2532 แล้ว ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้เสียหายที่ 1 จึงทวงถามเงินจากจำเลย จำเลยกลับเพิกเฉยพฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ให้มอบเช็ค11 ฉบับคืนให้จำเลยโดยจำเลยเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวให้ผู้เสียหายที่ 1 มาแต่ต้น ในขณะที่กล่าวหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 นั้น แล้วเป็นเหตุให้จำเลยได้ไปซึ่งเช็ค 11 ฉบับ อันเป็นเอกสารสิทธิ ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินตามกฎหมายของผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ออกเช็คถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว เช็คเอกสารหมาย จ.1 ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยฉ้อโกงผู้เสียหาย โจทก์ไม่อุทธรณ์คำขอดังกล่าวจึงยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้น โจทก์จะขอให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวในชั้นฎีกาอีกไม่ได้

Share