คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3343/2541

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 883และตามกรมธรรม์ประกันภัยมุ่งประสงค์จะคุ้มครองวินาศภัยทุกอย่างซึ่งอาจเกิดขึ้นแก่ของที่ขนส่ง ในระหว่างเวลาตั้งแต่ผู้ขนส่งได้รับของไปจนได้ส่งมอบของนั้นให้แก่ผู้รับตราส่งคือการคุ้มครองบรรดาความเสี่ยงภัยทั้งหลายที่เป็นการสูญหายหรือเสียหายทุกประเภทที่มีต่อสินค้าที่เอาประกันภัยไว้นั่นเองเมื่อปรากฏว่าสินค้าที่โจทก์เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยที่ 2ได้ขนส่งไปถึงประเทศอุรุกวัย อันเป็นจุดหมายปลายทางโดยปลอดภัย โดยไม่มีการสูญหายหรือเสียหายและผู้ซื้อก็ได้รับสินค้าไปเรียบร้อยแล้ว แม้ผู้ขนส่งจะได้จ่ายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อไป โดยผู้ซื้อมิได้ชำระราคาสินค้าแก่ธนาคารผู้รับตราส่งก่อนตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ก็ตามก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นกรณีที่สินค้าที่เอาประกันภัยสูญหายหรือเสียหายตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยอันจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นก็เป็นเพียงนายหน้าชี้ช่องให้โจทก์กับ จำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญากันเมื่อโจทก์ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย และโจทก์ยอมชำระเบี้ยประกันภัยแก่จำเลยที่ 2 แล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ได้บอกชื่อของอีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ถึงอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 848 แล้วจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2535 โจทก์ว่าจ้างบริษัทลุฟฮันซ่าเยอรมันแอร์ลายน์ ขนสินค้าเพชรและทองรูปพรรณของโจทก์ราคา 7,849,000 บาท ส่งให้แก่ผู้ซื้อที่ประเทศอุรุกวัยมีข้อตกลงว่าเมื่อสินค้าถึงปลายทางผู้ขนส่งต้องส่งหลักฐานแก่ธนาคารแบงโกบาเนสโต้ เอส.เอ. และเมื่อผู้ซื้อชำระราคาแก่ธนาคารดังกล่าวแล้ว ธนาคารจะมอบหลักฐานให้ไปรับสินค้าจากผู้ขนส่ง ในการขนส่งผู้ขนส่งรับประกันภัยสินค้าครึ่งหนึ่งของราคาสินค้า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจำเลยที่ 2 ซึ่งมีจำเลยที่ 1เป็นตัวแทนรับประกันภัยไว้ ต่อมาผู้ขนส่งมอบสินค้าแก่ผู้ซื้อโดยผู้ซื้อยังไม่ได้ชำระราคาสินค้าแก่ธนาคาร ผู้ขนส่งยอมรับผิดและใช้เงิน 3,924,500 บาท แก่โจทก์แล้วตามสัญญาประกันภัยโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระส่วนที่เหลือ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากเงินต้น 3,924,500 บาท นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2535ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 196,225 บาท รวมเป็นเงิน4,120,725 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน4,120,725 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ตกลงขายสินค้าเพชรและทองรูปพรรณรวมราคา 7,849,000 บาท แก่บริษัท พาลิเวล เอส.เอ. จำกัด ซึ่งอยู่ในประเทศอุรุกวัยโดยใบตราส่งระบุชื่อ ธนาคารแบงโกบาเนสโต้ เอส.เอ. เป็นผู้รับสินค้าเพื่อส่งต่อแก่บุคคลผู้เกี่ยวข้องในฐานะผู้ซื้อคือ บริษัทพาลิเวล เอส.เอ. จำกัด เมื่อผู้ซื้อได้ชำระราคาสินค้าแก่ธนาคารแบงโกบาเนสโต้ เอส.เอ แล้ว ธนาคารจะมอบใบตราส่งพร้อมหลักฐานอื่นให้ไปรับสินค้าจากบริษัทลุฟฮันซ่าเยอรมันแอร์ลายน์ ผู้ขนส่ง จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยการขนส่งสินค้าดังกล่าวตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.7 และ จ.10 ปรากฏว่าเมื่อสินค้าดังกล่าวขนส่งไปถึงประเทศอุรุกวัยแล้ว ผู้ขนส่งได้จ่ายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อไปโดยผู้ซื้อไม่ได้ชำระราคาสินค้าผู้ขนส่งยอมรับผิดชดใช้ราคาสินค้าอัตราร้อยละห้าสิบของราคาสินค้าเป็นเงิน 3,924,500 บาท แก่โจทก์แล้ว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ราคาสินค้าที่โจทก์ยังไม่ได้รับชดใช้ตามกรมธรรม์ประกันภัยในการขนส่งสินค้าหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนที่ 2 ว่าด้วยวิธีเฉพาะการประกันภัยในการรับขน มาตรา 883 บัญญัติว่า”อันสัญญาประกันภัยในการรับขนนั้น ย่อมคุ้มถึงความวินาศภัยทุกอย่างซึ่งอาจเกิดแก่ของที่ขนส่งในระหว่างเวลาตั้งแต่ผู้ขนส่งได้รับของไปจนได้ส่งมอบขณะนั้นแก่ผู้รับตราส่ง ฯลฯ”และตามคำแปลกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10แผ่นที่ 4 ข้อ 1 ก็ระบุว่า “กรมธรรม์ฉบับนี้คุ้มครองบรรดาความเสี่ยงภัยทั้งหลายที่เป็นการสูญหายหรือเสียหายทุกประเภทที่มีต่อสินค้าที่เอาประกันภัยไว้ ฯลฯ” จึงเป็นที่เห็นได้ว่า กฎหมายมุ่งประสงค์จะคุ้มครองวินาศภัยทุกอย่างซึ่งอาจเกิดขึ้นแก่ของที่ขนส่ง ในระหว่างเวลาตั้งแต่ผู้ขนส่งได้รับของไปจนได้ส่งมอบของนั้นให้แก่ผู้รับตราส่ง คือการคุ้มครองบรรดาความเสี่ยงภัยทั้งหลายที่เป็นการสูญหายหรือเสียหายทุกประเภทที่มีต่อสินค้าที่เอาประกันภัยไว้นั่นเอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า สินค้าที่โจทก์เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยที่ 2 ได้ขนส่งไปถึงประเทศอุรุกวัย อันเป็นจุดหมายปลายทางโดยปลอดภัยโดยไม่มีการสูญหายหรือเสียหายและผู้ซื้อก็ได้รับสินค้าไปเรียบร้อยแล้ว แม้ผู้ขนส่งจะได้จ่ายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อไป โดยผู้ซื้อมิได้ชำระราคาสินค้าแก่ธนาคารผู้รับตราส่งก่อนตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นกรณีที่สินค้าที่เอาประกันภัยสูญหายหรือเสียหายตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยอันจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นก็เป็นเพียงนายหน้าชี้ช่องให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญากันเมื่อโจทก์ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10ซึ่งระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย และโจทก์ยอมชำระเบี้ยประกันภัยแก่จำเลยที่ 2 แล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้บอกชื่อของอีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ถึงอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 848 แล้ว จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นกัน”
พิพากษายืน

Share