แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงื่อนไขในสัญญาเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัวกำหนดให้ผู้เช่าชำระค่าใช้บริการภายในวันที่ 10 ของเดือนทุกเดือนและหากผู้เช่าไม่ประสงค์จะใช้บริการ ผู้เช่าต้องแจ้งบอกเลิกการเช่าให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้น การที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าติดต่อกัน 2 เดือน แต่มิได้บอกเลิกการเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรจึงถือไม่ได้ว่าสัญญาการเช่าใช้บริการเลิกกัน ข้อสัญญาที่ระบุว่า ถ้าครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่าไม่บอกเลิกสัญญา ให้ถือว่าผู้เช่าได้ตกลงเช่าต่อไปก็ดีและข้อที่ระบุว่า อนึ่ง การระงับบริการอันเนื่องจากการผิดสัญญาของผู้เช่าเอง ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าระหว่างระงับบริการนั้นก็ดี ข้อสัญญาทั้งสองข้อหาใช่เป็นข้อสัญญาที่เอาเปรียบไม่เป็นธรรมแก่จำเลยแต่ประการใดไม่ เพราะเป็นเพียงกำหนดสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญาอันจะพึงปฏิบัติต่อกันเท่านั้น จำเลยเป็นฝ่ายเลือกใช้บริการ หากเห็นว่าข้อสัญญาของโจทก์เอาเปรียบก็เลือกใช้บริการที่อื่นได้ การที่จำเลยไม่ใช้บริการของโจทก์ แต่ก็มิได้บอกเลิกสัญญานำเครื่องวิทยุติดตามตัวไปคืนโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำเครื่องวิทยุดังกล่าวไปให้ผู้อื่นเช่าต่อไปได้ ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ ข้อสัญญาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นธรรม หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าใช้วิทยุติดตามตัวไปจากโจทก์โดยวางเงินประกันจำนวน 4,000 บาท และยอมให้หักชำระค่าเช่าใช้บริการที่ค้าง และค่าวิทยุหรืออุปกรณ์ที่สูญหายหรือเสียหายจำเลยรับวิทยุพร้อมอุปกรณ์ไปจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญา ครบกำหนดอายุสัญญาแล้วจำเลยไม่บอกเลิกสัญญาและยังคงครอบครองใช้บริการวิทยุของโจทก์ต่อไป ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2530 จำเลยแจ้งว่าวิทยุและอุปกรณ์สูญหายไป สัญญาเช่าใช้บริการจึงสิ้นสุดลงและโจทก์ทวงถามจำเลยให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง แต่จำเลยเพิกเฉยเสียโจทก์จึงนำเงินประกันจำนวน 4,000 บาท หักชำระค่าเช่าคงเหลือค่าเช่าที่จำเลยต้องชำระอีก 13,840 บาท จำเลยต้องใช้ราคาวิทยุและอุปกรณ์คิดเป็นเงิน 3,690 บาท ให้โจทก์ด้วย จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 17,530 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยยื่นคำให้การว่า สัญญาเช่าใช้บริการตามฟ้องโจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียว จำเลยจำต้องทำสัญญาด้วยทั้งที่ข้อความในสัญญาหลายตอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ได้แก่ข้อสัญญาที่ว่าเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วผู้เช่าไม่บอกเลิกสัญญาให้ถือว่าผู้เช่าตกลงเช่าต่อไป และที่ว่าการระงับบริการอันเนื่องจากความผิดสัญญาของผู้เช่าเอง ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าระหว่างการระงับบริการนั้น จำเลยเช่าใช้บริการวิทยุของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2528 ถึงเดือนกรกฎาคม2528 โดยชำระค่าเช่ามาโดยตลอด ต่อมาเดือนสิงหาคม 2528จำเลยมีโทรศัพท์ใช้จึงไม่ได้ใช้บริการวิทยุของโจทก์อีกและค้างชำระค่าเช่าติดต่อกันเกิน 2 เดือน ต่อมาวิทยุของโจทก์ได้สูญหายไป จำเลยจึงมีหนังสือแจ้งว่าวิทยุสูญหายไป และจำเลยให้โจทก์หักเงินประกันเป็นราคาวิทยุแล้ว ดังนี้เมื่อโจทก์ระงับการให้บริการเนื่องจากจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าใช้วิทยุ2 เดือน และโจทก์หักเงินประกันชำระราคาวิทยุพร้อมอุปกรณ์แล้วโจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายอีก ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าและค่าดอกเบี้ยจากจำเลย หากโจทก์จะเสียหายก็เพียงระยะเวลา 2 เดือนซึ่งจำเลยไม่ชำระค่าเช่าคิดเป็นเงิน 1,200 บาท เท่านั้นขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน17,530 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงื่อนไขในสัญญาเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัวนอกจากจะมีเงื่อนไขในสัญญาข้อ 2.2 ซึ่งห้ามผู้เช่าดัดแปลง แก้ไข ต่อเติมหรือกระทำการใด ๆ ต่อเครื่องและอุปกรณ์วิทยุให้ผิดไปจากที่ผู้ให้เช่าจัดทำไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ยังปรากฏเงื่อนไขในข้อ 2.4 ให้ผู้เช่าชำระค่าใช้บริการภายในวันที่ 10 ของเดือนทุกเดือนด้วย เมื่อผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าใช้บริการจึงถือได้ว่าผู้เช่าผิดสัญญาเนื่องจากความผิดของผู้เช่าเช่นเดียวกัน ผู้เช่าจึงต้องชำระค่าเช่าระหว่างระงับบริการนั้นด้วย และตามสัญญาข้อ 2.5 ระบุว่า หากผู้เช่าไม่ประสงค์จะใช้บริการ ผู้เช่าต้องแจ้งบอกเลิกการเช่าให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้น การที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่าติดกัน 2 เดือน แต่มิได้บอกเลิกการเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรจึงถือไม่ได้ว่าสัญญาการเช่าใช้บริการเลิกกันแล้วดังที่จำเลยฎีกา จำเลยฎีกาในประการสุดท้ายว่าสัญญาการเช่าใช้บริการวิทยุติดตามตัว ข้อ 2.5 ที่ระบุว่าถ้าครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่าไม่บอกเลิกสัญญา ให้ถือว่าผู้เช่าได้ตกลงเช่าต่อไปก็ดี และข้อ 2.6 ที่ระบุว่า อนึ่งการระงับบริการอันเนื่องจากการผิดสัญญาของผู้เช่าเอง ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าระหว่างระงับบริการนั้นก็ดี เป็นข้อสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะเป็นข้อสัญญาที่เอาเปรียบไม่ยุติธรรมนั้น เห็นว่า ข้อสัญญาทั้งสองข้อหาใช่เป็นของสัญญาที่เอาเปรียบไม่เป็นธรรมแก่จำเลยแต่ประการใดไม่เพราะเป็นเพียงกำหนดสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญาอันจะพึงปฏิบัติต่อกันเท่านั้น จำเลยเป็นฝ่ายเลือกใช้บริการ หากเห็นว่าข้อสัญญาของโจทก์เอาเปรียบก็เลือกใช้บริการที่อื่นได้ การที่จำเลยไม่ใช้บริการของโจทก์ แต่ก็มิได้บอกเลิกสัญญานำเครื่องวิทยุติดตามตัวไปคืนโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำเครื่องวิทยุดังกล่าวไปให้ผู้อื่นเช่าต่อไปได้ ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ แล้วจะมิให้โจทก์เรียกค่าเช่าใช้บริการจากจำเลยได้อย่างไร ข้อสัญญาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นธรรม หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน