แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอกเพื่อนำมาใช้ในกิจการของโจทก์ในอาคารที่เช่าจากจำเลยโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย สำหรับค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่จะต้องแบ่งให้จำเลยที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่ก็เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของโจทก์เพื่อประโยชน์ในการจัดการให้บริการแก่ลูกค้าที่มาติดต่อเท่านั้น มิใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครอบครองอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 241 จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทไว้ ต้องคืนให้แก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของตึกแถว เลขที่ 185/90 โจทก์กับนายอาภรณ์ พฤกษะศรี ได้ร่วมกันเช่าตึกแถวดังกล่าวเปิดเป็นศูนย์ภาษา โจทก์เป็นผู้ลงทุนด้วยเงิน ส่วนนายอาภรณ์ลงทุนด้วยแรง โดยให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยร้อยละ 30 ของยอดรายรับ ตกลงคิดค่าตอบแทนกันเดือนละครั้งภายในวันสิ้นเดือน โดยเริ่มนับแต่เดือนธันวาคม2527 เป็นต้นไป โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์เพื่อใช้ในกิจการดังกล่าวทั้งสิ้น 19,915 บาท ตามบัญชีทรัพย์เอกสารท้ายฟ้อง เมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคม 2527 จำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปดูแล และบริหารกิจการ โจทก์จึงได้ไปเช่าตึกแถวเลขที่ 185/147 ซึ่งอยู่ในซอยเดียวกันเปิดศูนย์ภาษาทำให้จำเลยไม่พอใจ ต่อมาโจทก์ได้ขนย้ายทรัพย์ของโจทก์ออกไปจากตึกแถวของจำเลยนำไปเก็บไว้ที่ตึกแถวที่โจทก์เช่าแห่งใหม่ จำเลยได้ไปแจ้งความว่า โจทก์ได้ลักเอาทรัพย์เหล่านั้นไป พนักงานสอบสวนได้จับกุมโจทก์และมีคำสั่งให้โจทก์ขนทรัพย์กลับคืนมาไว้ที่ตึกแถวของจำเลยเพื่อเก็บรักษาไว้ในระหว่างการสอบสวน ผลการสอบสวนปรากฏว่าทรัพย์เป็นของโจทก์ พนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง โจทก์จึงไปขอรับทรัพย์คืนจากจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ ขอให้บังคับจำเลยคืนทรัพย์ทั้งหมดแก่โจทก์ตามสภาพเดิมหากคืนไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคาพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยกับนายอาภรณ์ พฤกษะศรี ได้ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาที่ตึกแถวเลขที่ 185/90 โดยมีข้อตกลงกันว่านายอาภรณ์ เป็นผู้จัดหาครูมาทำการสอน และบริหารด้วยค่าใช้จ่ายของนายอาภรณ์เอง หากมีรายได้ จำเลยจะได้รับส่วนแบ่งในอัตราร้อยละ30 ของจำนวนเงินที่ได้รับก่อนหักค่าใช้จ่ายตลอดไป เมื่อตกลงกันแล้วนายอาภรณ์ได้จัดซื้อทรัพย์ ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง รวมทั้งจ้างครูผู้สอนและลูกจ้างซึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วยมาดำเนินการ เริ่มแรกได้รับนักเรียนเข้ามา 7 คน ได้รับค่าเล่าเรียนทั้งสิ้น 11,700 บาทโจทก์เอาเงินดังกล่าวไปโดยไม่สุจริตและไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการอีกเลย เป็นเหตุให้จำเลยไม่ได้รับส่วนแบ่งจากนายอาภรณ์กิจการได้ดำเนินมาประมาณ 1 เดือนนายอาภรณ์ไม่สนใจที่จะดำเนินการต่อไป จำเลยจึงต้องเข้าดำเนินการแทน และจำเลยได้ทดรองออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องรับผิดชอบสอนนักเรียน 7 คน ให้ครบหลักสูตร 3 เดือน ตามที่สมัครเรียนไว้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น31,000 บาท ซึ่งนายอาภรณ์จะต้องคืนแก่จำเลย และยังจะต้องแบ่งเงินให้จำเลยร้อยละ 30 ของยอดค่าเล่าเรียนที่รับไว้อีก11,700 บาท คิดเป็นเงิน 3,510 บาท แต่นายอาภรณ์มิได้ชำระให้แก่จำเลย ส่วนทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องนั้น นายอาภรณ์เคยให้คนมาขนเอาไปบางส่วนแล้ว ยังคงเหลืออยู่ที่จำเลยเฉพาะทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง รายการที่ 6, 7, 8, 9 และ 10 เท่านั้น ซึ่งจำเลยจะต้องยึดหน่วงไว้จนกว่านายอาภรณ์มาคิดบัญชีหนี้สินให้เสร็จสิ้นกันก่อน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์กับนายอาภรณ์ พฤกษะศรี ได้ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาขึ้นที่ตึกแถวเลขที่ 185/90 ของจำเลย โดยรับสอนภาษาต่างประเทศให้แก่บุคคลทั่วไป โจทก์กับนายอาภรณ์ตกลงกับจำเลยว่าโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหมด และจะจ่ายผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนให้แก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของสถานที่ในอัตราร้อยละ 30 ของรายได้ที่ได้รับ โจทก์ได้ซื้อเครื่องใช้ประจำสำนักงานชนิดต่าง ๆ และอุปกรณ์อื่น ๆ ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง รวมราคา 19,915บาท เพื่อนำมาใช้ในตึกแถวดังกล่าว เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอก เพื่อใช้ในการประกอบกิจการของศูนย์ภาษาโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทนั้นแต่อย่างใด ส่วนค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่จะต้องแบ่งให้จำเลยที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่นั้น ก็เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินการของศูนย์ภาษา เพื่อประโยชน์ในการจัดการให้บริการแก่ลูกค้าที่มาติดต่อเท่านั้น หาใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครองอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 241 ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทเหล่านั้นไว้จึงต้องคืนให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนทรัพย์ทั้งหมดตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ตามสภาพเดิม หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 19,915 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ