คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3337/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วไม่ชำระหนี้จำเลยให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงแต่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์แล้วจำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบว่าได้ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วบางส่วนตามคำให้การแต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653วรรคสองการที่จำเลยจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงเมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานเอกสารลงลายมือชื่อของโจทก์มาแสดงเป็นพยานหลักฐานในคดีจำเลยจึงต้องห้ามมิให้นำสืบเรื่องการชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แม้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสมควรอย่างยิ่งที่จะให้จำเลยนำพยานบุคคลและเอกสารการชำระเงินที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์มานำสืบก็ตามแต่ศาลก็ไม่อาจอนุญาตหรือรับฟังพยานหลักฐานเช่นนั้นได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94อีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2532 จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 63,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีชำระเงินคืนภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2533 ตั้งแต่กู้เงินไปจำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ เมื่อครบกำหนดชำระเงินจำเลยผิดนัดไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้จำนวน 63,000 บาทดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 28,544 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ก่อนจะทำสัญญากู้ตามฟ้อง จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์โดยมิได้ทำสัญญากัน จำเลยได้นำเงินต้นและดอกเบี้ยไปชำระให้แก่โจทก์บางส่วน คงเหลือเงินที่ค้างชำระจำนวน 63,000 บาทโจทก์จะไม่คิดดอกเบี้ยกับจำเลย แต่ต้องให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมไว้เป็นหลักฐาน จำเลยจึงได้ทำสัญญากู้ยืมฉบับพิพาทไว้กับโจทก์หลังจากทำสัญญากู้ยืมกันแล้ว จำเลยได้นำเงินต้นไปชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 36,000 บาท เหลือยอดหนี้ที่ยังค้างชำระจำนวน27,000 บาท ในการชำระหนี้แก่โจทก์ทุกครั้งโจทก์มิเคยออกใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับเงินให้แก่จำเลย ขอให้พิพากษาให้โจทก์รับชำระเงินตามที่จำเลยค้างชำระจริงเท่านั้น
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 91,444 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 63,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปจริง แต่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์แล้ว ดังนี้จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบว่าได้ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วบางส่วนตามคำให้การ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง บัญญัติว่า การที่จำเลยจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง เมื่อจำเลยไม่หลักฐานเอกสารลงลายมือชื่อของโจทก์มาแสดงเป็นพยานหลักฐานในคดี เช่นนี้จำเลยจึงต้องห้ามมิให้นำสืบเรื่องการชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ที่จำเลยฎีกาว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสมควรอย่างยิ่งที่จะให้จำเลยนำพยานบุคคลและเอกสารการชำระเงินที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์มานำสืบนั้น เห็นว่า ศาลไม่อาจอนุญาตหรือรับฟังพยานหลักฐานเช่นนั้นได้ เพราะต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น และยังขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 อีกด้วย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share