แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาเช่าซื้อจำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ให้โจทก์ 208,272 บาท และในสัญญาระบุว่า ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัย สูญหายไม่ว่าโดยเหตุสุดวิสัย หรือโดยเหตุใด ๆ ผู้เช่าซื้อยอมรับผิดฝ่ายเดียว และยอมชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาจนครบ โจทก์ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยตามจำนวน 170,000 บาท แม้จะเกินจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายให้บริษัทที่โจทก์ซื้อรถยนต์มาให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อต่อแต่ก็ยังไม่ครบจำนวนตามสัญญษเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ยังขาดอยู่จากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์แลนเซอร์ หมายเลขทะเบียน ๕ ง – ๒๔๒๘ ไปจากโจทก์ เป็นเงิน ๒๐๘,๒๗๒ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรกตลอดมา ปรากฏว่ารถยนต์สูญหายไป ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้เงินให้โจทก์ ๑๗๐,๐๐๐ บาท เมื่อหักค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระคงขาดอยู่อีก ๓๘,๒๗๒ บาท ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายจำนวน ๓๘,๒๗๒ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า รถยนต์สูญหายไปก่อนถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดแรก จำเลยที่ ๑ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว รถยนต์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหายไปโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่ ๑ สัญญาเช่าซื้อจึงระงับไป จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัทสิทธิผลมอเตอร์ จำกัด ในวงเงิน ๒๒๔,๐๐๐ บาท ชำระเงินไป ๖๐,๐๐๐ บาทที่เหลือ บริษัท ฯ ให้จำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระกับโจทก์แทน โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ทำประกันภัยรถยนต์ในวงเงิน ๑๗๐,๐๐๐ บาท สูงกว่าราคาค้างชำระ ๖,๐๐๐ บาท โจทก์ได้รับชดใช้เงินจากบริษัทประกันภัยเกินราคารถยนต์ หรือความเสียหายที่โจทก์ได้รับจริง โจทก์จึงไม่เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องให้ชดใช้ค่าเช่าซื้อหรือค่าเสียหายใด ๆ
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน ๓๘,๒๗๒ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ ๑ ต้องชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ ๒๐๘,๒๗๒ บาท ในสัญญาข้อ ๖ ระบุว่า ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัย สูญหาย ไม่ว่าโดยเหตุสุดวิสัยหรือโดยเหตุใด ๆ ผู้เช่าซื้อยอมรับผิดฝ่ายเดียวและยอมชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาจนครบ เมื่อโจทก์ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยจำนวน ๑๗๐,๐๐๐ บาท แม้จะเกินจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายให้บริษัทสิทธิผลมอเตอร์ จำกัด แต่ก็ยังไม่ครบจำนวนตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้กับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่ยังขาดอยู่จากจำเลยได้
พิพากษายืน