คำสั่งคำร้องที่ 338/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ที่แก้ไขใหม่ ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้นโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 135)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,268,391,83,91 ที่แก้ไขแล้ว เป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 265อันเป็นบทหนัก ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวมสองกระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการ พิจารณาอยู่บ้าง เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 5,716.75 บาท แก่กรมชลประทาน ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 128)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 135)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐาน แล้วเชื่อว่า จำเลยรู้เห็นเป็นใจกับบุคคลที่ปลอมลายมือชื่อ ของบุคคลอื่นเพื่อรับเงินไปจากผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยมีเจตนา ทุจริต จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้รู้เห็นเป็นใจ ถือไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาทุจริต ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้เถียง คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่า จำเลยรู้เห็นเป็นใจ กับบุคคลที่ปลอมลายมือชื่อของผู้อื่นหรือไม่ เป็นสำคัญอันเป็น ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share