แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
สาเหตุที่โจทก์ที่ 3 ชักชวนโจทก์อื่นกับชาวบ้านในหมู่ที่ 3 ทำทางพิพาทตั้งแต่แม่น้ำนครชัยศรีถึงทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง – ทรงคนอง ก็เนื่องจากหมู่บ้านหมู่ที่ 3 ไม่มีทางรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณะ ทำให้โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดและชาวบ้านมีความเดือดร้อนในการสัญจรไปมาติดต่อกับท้องถิ่นอื่นและขนส่งพืชผลทางเกษตรกรรมออกไปจำหน่ายในท้องตลาด จึงได้มีการเจรจากับจำเลยขอใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางผ่านออกสู่ทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง – ทรงคนอง เมื่อจำเลยตกลงแล้ว จึงเป็นการให้สิทธิแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดเหนือที่ดินของจำเลยอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องยอมรับกรรมบางอย่าง เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการก่อตั้งภาระจำยอม แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นเพียงทำให้การได้มาซึ่งภาระจำยอมนั้นไม่บริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะหรือเสียเปล่าแต่อย่างใด ยังคงใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณี โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดย่อมบังคับให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยร่วมกับโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดพัฒนาทางผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 3196 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ของจำเลยให้มีความกว้าง 8 เมตร ตลอดแนวทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินต่อจากทางที่ผ่านที่ดินของนายเสมและนางลำพึง และให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยส่วนดังกล่าวแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยเองหากจำเลยไม่ปฏิบัติขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่าโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดและจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินหมู่ที่ 3 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตามฟ้อง ที่ดินของจำเลยด้านทิศเหนือติดทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง – ทรงคนอง ส่วนที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดอยู่ด้านในถัดจากที่ดินของจำเลยต่อเนื่องกันไปทั้งทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้จนจดแม่น้ำนครชัยศรี ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.9 การสัญจรไปมาเดิมชาวบ้านหมู่ที่ 3 ใช้ทางเรือตามแม่น้ำนครชัยศรี หรือใช้ทางเดินตามคันคลองร่องสวนผ่านที่ดินหลายแปลงหลายหมู่บ้านเพื่อออกสู่ถนนสายเพชรเกษม ชาวบ้านหมู่ที่ 3 และบริเวณใกล้เคียงมีความเดือนร้อนมาก เพราะไม่มีทางสาธารณะที่รถยนต์แล่นเข้าออกได้ เมื่อ พ.ศ.2536 ทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง – ทรงคนอง ซึ่งผ่านหมู่บ้านหมู่ที่ 3 สร้างเสร็จ โจทก์ที่ 3 จึงชักชวนโจทก์อื่นกับชาวบ้านทำทางรถยนต์เข้าหมู่บ้านเพื่อออกสู่ทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง – ทรงคนอง และเห็นว่าถ้าทางดังกล่าวคือทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งเดิมเป็นทางเดินจะสะดวกและสั้นที่สุดและเจ้าของที่ดินด้านในจากที่ดินของจำเลยต่อเนื่องกันจนจดแม่น้ำนครชัยศรียอมสละที่ดินส่วนของตน ให้ทำทางสำหรับรถยนต์ จึงได้เจรจากันโดยมีนายสวัสดิ์ รุ่งเรืองศรี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3ในขณะนั้นเข้าช่วยเจรจาด้วย และตกลงกันว่าโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดยอมจ่ายค่าตอบแทนที่จำเลยยอมให้ทางดังกล่าวผ่านที่ดินของจำเลยในอัตรา 20,000 บาทต่อไร่ ตามที่จำเลยเรียกร้อง ส่วนการทำทางตั้งแต่ปากทางในที่ดินของจำเลยผ่านที่ดินอีกหลายแปลงจนจดแม่น้ำนครชัยศรีนั้น โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการ โจทก์ที่ 1 ว่าจ้างนายมนัสให้ถมดินและทำทาง นายมนัสคิดราคาไร่ละ 7,000 บาท สำหรับ 9 รายแรกที่อยู่ด้านปากทางด้านนอกใกล้ที่ดินจำเลย ส่วนที่เหลือด้านในคิดราคาไร่ละ 17,000 บาท เพราะเป็นที่ดินบริเวณคอลงดินค่อนข้างนิ่ม ราคาค่าถมดินและค่าก่อสร้างจึงแพงกว่าด้านนอก ทางดังกล่าวแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.2537 จำเลยได้รับเงินค่าผ่านทางและนายมนัสได้รับเงินค่าก่อสร้างเป็นที่พอใจแล้ว และทางที่ตัดผ่านที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดก็ได้จดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่กันและกันแล้ว…
สำหรับฎีกาของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดข้อแรกว่า ทางพิพาทเป็นภาระจำยอมหรือไม่นั้น เห็นว่า สาเหตุที่โจทก์ที่ 3 ชักชวนโจทก์อื่นกับชาวบ้านในหมู่ที่ 3 ทำทางพิพาทตั้งแต่แม่น้ำนครชัยศรีถึงทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง – ทรงคนอง ก็เนื่องจากหมู่บ้านหมู่ที่ 3 ไม่มีทางรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณะ ทำให้โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดและชาวบ้านในหมู่บ้านดังกล่าวมีความเดือดร้อนในการสัญจรไปมาติดต่อกับท้องถิ่นอื่นและขนส่งพืชผลทางเกษตรกรรม เช่น ส้มโอ ออกไปจำหน่ายในท้องตลาด ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้รถยนต์ในการเดินทางและขนส่ง จึงได้มีการเจรจากับจำเลย ขอใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางผ่านออกสู่ทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง – ทรงคนอง เมื่อจำเลยตกลงแล้ว จึงเป็นการให้สิทธิแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดเหนือที่ดินของจำเลย อันเป็นเหตุให้จำเลยต้องยอมรับกรรมบางอย่าง เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการก่อตั้งภาระจำยอม แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นเพียงทำให้การได้มาซึ่งภาระจำยอมนั้นไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะหรือเสียเปล่าแต่อย่างใด ยังคงใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณีโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดย่อมบังคับให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมได้ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฟังขึ้น คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดข้อสุดท้ายว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องร่วมกับโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดพัฒนาทางพิพาทภายในกรอบเส้นสีแดงตามแผนที่วิวาท ให้มีขนาดกว้าง 8 เมตร ตามกรอบเส้นสีเขียวหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยจ่ายเงิน 64,000 บาท และจะแบ่งเงินค่าผ่านทางที่ได้รับจากบุคคลอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในเอกสาร ที่เข้ามาใช้ทางพิพาท 10,000 บาทต่อไร่ ให้เป็นกองทุนปรับปรุงทางนั้น ก็เพื่อการปรับปรุงทางพิพาทซึ่งตามภาพถ่าย มีสภาพเป็นถนนดินและเป็นหลุมเป็นบ่อมีน้ำขังให้มีสภาพที่ดีขึ้น ไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงให้จำเลยต้องบริจาคที่ดินเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาทางพิพาทซึ่งมีความกว้างไม่ถึง 8 เมตร ให้มีความกว้าง 8 เมตร ทั้งได้ความจากนายมนัส รุ่งเรืองศรี ผู้รับจ้างทำทางมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ทางพิพาทส่วนที่ผ่านที่ดินของจำเลยเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วมีความกว้างประมาณ 4 เมตร ดังนั้น ข้อนำสืบลอย ๆ ของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดว่า จำเลยตกลงว่าจะพัฒนาทางพิพาทภายในกรอบเส้นสีแดงให้มีขนาดกว้าง 8 เมตร ตามที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดนำชี้ภายในกรอบเส้นสีเขียวจึงรับฟังไม่ได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่งที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดขอให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนภาระจำยอมนั้น ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงในเรื่องนี้ไว้ จึงบังคับให้ไม่ได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไปจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 3196 ของจำเลยตามกรอบเส้นสีแดงในแผนที่วิวาทหมาย จ.43 ซึ่งเป็นทางตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 3253, 56404, 3218, 59496, 3215, 3216, 3200, 3217, 1846, 42065, 45240, 3199, 3254, 42066, 45241, 42067, 3234, 3232, 13152, 3233, 16648, 3231, 3235, 13149, 9689 และ 3240 ตำบลทรงคนอง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาศาลฎีกาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 7