แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบเป็นสมาชิกกองทุนเงินสวัสดิการออมทรัพย์ โดยมีเงินฝากออมทรัพย์ฝากไว้กับกองทุนเงินสวัสดิการออมทรัพย์ดังกล่าวรวมเป็นเงิน 8,443,700 บาท จึงเป็นสัญญาฝากเงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งเงินคืนเป็นเงินอันเดียวกับที่รับฝาก ผู้รับฝากมีสิทธิที่จะเอาเงินนั้นออกใช้ก็ได้ เงินที่ฝากจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับฝาก ผู้รับฝากคงมีหน้าที่คืนเงินให้ครบจำนวนนั้นเท่านั้น เงินที่ฝากไว้และจำเลยยักยอกไปมิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบ จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบตามมาตรา 420 จำเลยไม่มีความผูกพันเป็นหนี้โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (2) โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบจึงไม่อาจฟ้องจำเลยให้ล้มละลาย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 มีหน้าที่ควบคุมดูแลเบิกจ่ายเงินฝากตามระเบียบกองพันมณฑลทหารบกที่ 11 ว่าด้วยเงินทุนสวัสดิการและการออมทรัพย์ กองพันมณฑลทหารบกที่ 11 พ.ศ.2540 ข้าราชการในหน่วยงานรวมทั้งโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบได้ฝากเงินไว้กับกองทุนเงินสวัสดิการออมทรัพย์ ต่อมาหน่วยราชการได้ตรวจพบว่ามีการยักยอกเงินฝากไปจำนวน 12,921,065.21 บาท เงินดังกล่าวจำนวน 8,443,700 บาท เป็นเงินที่โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบนำฝากไว้ จำเลยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนและจำเลยได้ยอมรับต่อคณะกรรมการสอบสวนว่ายักยอกเงินดังกล่าวไปจริงและจะชำระเงินคืน จำเลยมิได้ชำระเงินคืนและได้หลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ และจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ยักยอกเงินฝากตามฟ้อง หนี้ที่นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน จำเลยมีทรัพย์สิน และมิได้หลบหนีไปเสียจากเคหสถานยังคงพักอาศัยในบ้านที่เคยอยู่ ไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์หนึ่งร้อยห้าสิบว่า โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบจะฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (2) เจ้าหนี้จะฟ้องบุคคลธรรมดาให้ล้มละลายได้ บุคคลนั้นจะต้องมีความผูกพันเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์อยู่ การที่โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบเป็นสมาชิกกองทุนเงินสวัสดิการออมทรัพย์ของกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 โดยมีเงินฝากออมทรัพย์ฝากไว้กับกองทุนเงินสวัสดิการออมทรัพย์ดังกล่าวรวมเป็นเงิน 8,443,700 บาท กรณีจึงเป็นสัญญาฝากเงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งเงินคืนเป็นเงินอันเดียวกับที่รับฝาก ผู้รับฝากมีสิทธิที่จะเอาเงินนั้นออกใช้ก็ได้ เงินที่ฝากจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับฝาก ผู้รับฝากคงมีหน้าที่คืนเงินให้ครบจำนวนนั้นเท่านั้น เงินจำนวน 8,443,700 บาท ที่ฝากไว้และจำเลยยักยอกไปมิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบ จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบตามมาตรา 420 จำเลยไม่มีความผูกพันเป็นหนี้โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบ โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบจึงไม่อาจฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้ ที่ศาลล้มละลายกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.