แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/42 บัญญัติว่า” ในแผนให้มีรายการต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย_ _ _ (4) การไถ่ถอนหลักประกันในกรณีที่มีเจ้าหนี้มีประกันและความรับผิดของผู้ค้ำประกัน_ _ _” ในรายการเรื่องความรับผิดของผู้ค้ำประกันย่อมหมายความรวมถึงการระบุชื่อผู้ค้ำประกัน วงเงินความรับผิดตลอดจนผลของคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนต่อผู้ค้ำประกันด้วย ในคดีนี้ผู้ทำแผนได้ระบุชื่อผู้ค้ำประกันและวงเงินค้ำประกันไว้โดยละเอียดโดยผู้ทำแผนชี้แจงว่าเป็นการจัดทำตามข้อมูล เอกสารแห่งหนี้ และหลักประกันที่ลูกหนี้มีอยู่ แสดงว่าผู้ทำแผนได้พยายามแสดงหรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว อีกทั้งการที่ผู้ทำแผนระบุชื่อและความรับผิดของผู้ค้ำประกันไม่ครบถ้วนก็มิใช่รายการที่มีสาระสำคัญในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แต่อย่างใด และหากศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดของผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่คำสั่งเห็นชอบด้วยแผนตามที่ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/60 วรรคสอง บัญญัติไว้อยู่แล้ว กรณีจึงถือว่าแผนของลูกหนี้มีรายการครบถ้วนตามมาตรา 90/42 ประกอบกับมาตรา 90/58 (1) แล้ว
การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ในบรรดาเจ้าหนี้ไม่มีประกันนั้นมาตรา 90/42 ทวิ บัญญัติว่า “เจ้าหนี้ไม่มีประกัน อาจจัดได้เป็นหลายกลุ่มโดยให้เจ้าหนี้ไม่มีประกันที่มีสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์ที่มีสาระสำคัญเหมือนกันหรือทำนองเดียวกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน” และในมาตรา 90/42 ทวิ วรรคสอง ได้บัญญัติถึงการคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ว่า “เจ้าหนี้รายใดเห็นว่า การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่ได้เป็นไปตามวรรคหนึ่งอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่ม และศาลอาจมีคำสั่งให้จัดกลุ่มเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยเร็วคำสั่งศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด” คดีนี้เจ้าหนี้รายที่ 80 ซึ่งผู้ทำแผนจัดอยู่ในกลุ่มที่ 14 ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันต่อศาลล้มละลายกลางก่อนวันนัดประชุมเพื่อพิจารณาแผน และศาลล้มละลายกลางได้วินิจฉัยยกคำร้องของเจ้าหนี้รายที่ 80 ดังกล่าว การจัดกลุ่มเจ้าหนี้รวมถึงเจ้าหนี้ไม่มีประกันตามแผนจึงถือว่าถึงที่สุดแล้วตามมาตรา 90/42 ทวิ วรรคท้าย และในส่วนการชำระหนี้ให้เจ้าหนี้แต่ละกลุ่มนั้นจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในทางธุรกิจในอันที่จะให้กิจการของลูกหนี้ดำเนินการต่อไปได้ เกี่ยวกับเจ้าหนี้ในกลุ่มที่ 11 และกลุ่มที่ 12 จะต้องได้รับชำระหนี้โดยการแปลงหนี้เป็นทุนเช่นเดียวกับเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ที่ทำธุรกิจกับลูกหนี้ก็คงไม่มีผู้ใดยินยอมให้บริการ การกำหนดให้เจ้าหนี้กลุ่มนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงินแตกต่างกับเจ้าหนี้การค้าอื่น ๆ จึงเป็นธรรมแล้ว ส่วนที่มาตรา 90/58 (2) กำหนดให้ข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนนั้นจะต้องเป็นไปตามลำดับที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าด้วยการแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลายนั้น หมายความว่าจะต้องดำเนินการแบ่งทรัพย์สินไปตามลำดับบุริมสิทธิที่กำหนดไว้ตามมาตรา 130 (1) ถึง (6) ส่วนหนี้ในมาตรา 130 (7) จะได้ส่วนแบ่งอย่างไรจะต้องเป็นไปตามการจัดกลุ่มเจ้าหนี้และข้อกำหนดในแผนฟื้นฟูกิจการ ดังนั้นเมื่อแผนกำหนดให้แต่ละกลุ่มได้รับชำระหนี้ในหลักเกณฑ์เดียวกันอย่างเท่าเทียมกัน จึงเป็นแผนที่กำหนดถึงสิทธิของเจ้าหนี้ในกลุ่มเดียวกันให้ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันตามมาตรา 90/42 ตรี แผนจึงไม่ขัดต่อมาตรา 90/58 (2)
ย่อยาว
ตามมาตรา ๙๐/๕๘ (๓) บัญญัติว่า “เมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จจะทำให้เจ้าหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย” ในการพิจารณาหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ศาลจะต้องนำประมาณการรายได้ที่เจ้าหนี้ต่าง ๆ จะได้รับถ้าหากว่าศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย กล่าวคือ เป็นจำนวนเงินที่จะได้หากว่ามีการบังคับขายทรัพย์สินของลูกหนี้ กับรายได้ที่เจ้าหนี้จะได้รับถ้าหากว่ากิจการของลูกหนี้ได้ดำเนินการต่อไปภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการจนสำเร็จ การเปรียบเทียบดังกล่าวจะต้องเปรียบเทียบรายได้ที่จะได้รับภายใต้วันเวลาเดียวกัน กล่าวคือ วันที่แผนฟื้นฟูกิจการมีผลบังคับ เมื่อปรากฏจากคำชี้แจงของผู้ทำแผนว่า เจ้าหนี้รายที่ ๔ จะได้รับชำระหนี้ ๒,๙๐๐ บาท และเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ จะได้รับชำระหนี้ ๑๑๖,๗๐๐ บาท เท่านั้น ส่วนกรณีที่มีการฟื้นฟูกิจการดำเนินการตามแผนสำเร็จเจ้าหนี้รายที่ ๔ และเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ จะได้รับการชำระหนี้โดยการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งทำให้เจ้าหนี้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นและผู้ร่วมลงทุนในบริษัทลูกหนี้ จำนวนเงินที่ได้รับชำระหนี้ย่อมมีจำนวนเท่ากับราคาตลาดที่แท้จริงของหุ้นในวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนภายใต้สภาวการณ์ดำเนินการตามแผนสำเร็จ กรณีจึงเห็นได้แน่ชัดว่า เจ้าหนี้ผู้คัดค้านทั้งสองรายดังกล่าวได้รับการชำระหนี้โดยแปลงหนี้เป็นทุนมีมูลค่าตลาดที่แท้จริงมากกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย อุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนในข้อนี้ฟังขึ้น
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และตั้งให้บริษัทพรีเมียร์แพลนเนอร์ จำกัด เป็นผู้ทำแผน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่าในการประชุมเจ้าหนี้ (คราวที่ได้เลื่อนมา) เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๓ เพื่อปรึกษาว่าจะยอมรับแผนหรือไม่ หรือจะแก้ไขอย่างไร ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่มีการแก้ไขแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๔๖ (๒) ขอให้ศาลนัดพิจารณาแผน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งแจ้งความกำหนดวันนัดพิจารณาให้ผู้ทำแผน ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบโดยชอบแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๕๖
เจ้าหนี้รายที่ ๔ ยื่นคำคัดค้านว่า_ _ _
เจ้าหนี้รายที่ ๗๔ ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ทำแผนระบุรายละเอียดจำนวนผู้ค้ำประกันและจำนวนหนี้ไว้ไม่ถูกต้องโดยระบุผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ต่อเจ้าหนี้รายที่ ๗๔ ไว้เพียง ๓ ราย และระบุวงเงินค้ำประกันเพียง ๒๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งระบุภาระหนี้ของผู้ค้ำประกันในปัจจุบันเพียง ๓๗,๙๐๐,๐๐๐ บาท ความจริงมีผู้ค้ำประกัน ๕ ราย วงเงินค้ำประกัน ๒๗๘,๓๘๓,๘๐๕.๙๗ บาท และภาระหนี้ค้ำประกันในปัจจุบันมีจำนวน ๗๐๗,๗๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้มีคำสั่งให้แก้ไขแผนระบุจำนวนผู้ค้ำประกันและวงเงินค้ำประกัน อีกทั้งภาระหนี้ที่ค้ำประกันหนี้ของลูกหนี้ต่อเจ้าหนี้รายที่ ๗๔ ให้ถูกต้องหรือมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
เจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ยื่นคำคัดค้านว่า_ _ _
ผู้ทำแผนยื่นคำชี้แจงว่า กรณีการค้ำประกันโดยบุคคลภายนอกเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้รายที่ ๗๔ หาได้กระทบสิทธิที่เจ้าหนี้รายที่ ๗๔ จะเรียกเอาจากผู้ค้ำประกัน เหตุที่ผู้ทำแผนได้ระบุชื่อผู้ค้ำประกัน ๓ ราย เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐานเอกสารภาระหนี้และภาระค้ำประกันของลูกหนี้ไม่ปรากฏหนังสือค้ำประกันอีก ๒ ฉบับ ที่เจ้าหนี้รายที่ ๗๔ กล่าวอ้าง ถ้าเจ้าหนี้รายที่ ๗๔ มีสิทธิเรียกร้องตามหนังสือค้ำประกัน ๒ ฉบับ ดังกล่าวก็ชอบที่จะไปเรียกเอาจากผู้ค้ำประกันได้ ทั้งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๔๒ (๔) ก็ไม่ได้กำหนดว่าแผนจะต้องระบุชื่อผู้ค้ำประกันทุกราย ตามหลักฐานที่เจ้าหนี้แสดงต่อลูกหนี้คงระบุไว้แต่เพียงว่าความรับผิดของผู้ค้ำประกันซึ่งแผนก็ได้กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว สำหรับกรณีการจัดกลุ่มเจ้าหนี้และการจัดสรรชำระหนี้ เจ้าหนี้กลุ่มที่ ๒ ถึงกลุ่มที่ ๖ และเจ้าหนี้กลุ่มที่ ๑๑ ถึงกลุ่มที่ ๑๓ เป็นหนี้ที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของลูกหนี้ต่อไป กล่าวคือ หนี้ในกลุ่มที่ ๒ และกลุ่มที่ ๓ เป็นหนี้อันเกิดจากสินเชื่อเพื่อการให้เช่าซื้อและการซื้อรถยนต์โดยมีชุดจดทะเบียน สมุดจดทะเบียน และสัญญาเช่าซื้อเป็นประกัน หนี้ในกลุ่มที่ ๔ และกลุ่มที่ ๕ เป็นหนี้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบกิจการของลูกหนี้ หนี้ในกลุ่มที่ ๑๑ ถึงกลุ่มที่ ๑๓ เป็นเจ้าหนี้อันเกิดจากความจำเป็นในการดำเนินธุรกิจต่อไปของลูกหนี้ เช่น หนี้ค่าตรวจสอบบัญชี ค่าที่ปรึกษากฎหมาย ค่าที่ปรึกษาทางการเงิน หนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคของลูกหนี้ และเจ้าหนี้กรมสรรพากร เป็นต้น ซึ่งหนี้ในกลุ่มดังกล่าวข้างต้นเป็นกลุ่มเจ้าหนี้ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินการของลูกหนี้ต่อไป เพราะเป็นธุรกิจหลักซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้มาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้และฟื้นฟูกิจการของตัวลูกหนี้เองได้ต่อไป แต่หนี้ในกลุ่มที่ ๑๔ มิได้มีความสำคัญต่อธุรกิจของลูกหนี้ในอนาคต อีกทั้งเป็นหนี้อันเกิดจากสัญญาที่มีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ซึ่งแผนกำหนดให้ผู้บริหารแผนมีสิทธิไม่ยอมรับสัญญาดังกล่าวได้ การจัดสรรการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มนี้จึงแตกต่างจากเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้ในกลุ่มอื่นที่มีมูลหนี้อันเกิดจากกิจการที่มีความจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของลูกหนี้ในอนาคตนอกจากนี้เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อคัดค้านการจัดกลุ่มว่าไม่เป็นไปตามกฎหมายและไม่เป็นธรรม แต่ศาลได้พิจารณามีคำสั่งยกคำร้องของเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ประเด็นการจัดกลุ่มเจ้าหนี้จึงถึงที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตามการจัดกลุ่มเจ้าหนี้และการจัดสรรชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในกลุ่มต่าง ๆ ไม่เหมือนกันก็เพื่อให้อำนาจผู้ทำแผนสามารถกำหนดได้ว่าหนี้กลุ่มใดเป็นหนี้ที่มีความสำคัญต่อธุรกิจของลูกหนี้มากกว่ากันซึ่งควรจะได้รับชำระหนี้แตกต่างกัน เพราะลูกหนี้มีเงินทุนหรือความสามารถในการชำระหนี้จำกัดเนื่องจากลูกหนี้อยู่ในสถานะมีหนี้สินล้นพ้นตัว เจ้าหนี้ในกลุ่มที่ ๑๔ เป็นหนี้ที่เกิดจากนิติกรรมที่มีภาระและมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของลูกหนี้ต่อไปในอนาคตจึงควรได้รับการชำระหนี้น้อยกว่าและแตกต่างจากเจ้าหนี้กลุ่มอื่น แต่ก็ได้รับชำระหนี้มากกว่าในกรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย ผู้ทำแผนได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการโดยสุจริตโดยคำนึงถึงกฎหมาย ความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ จึงจำเป็นต้องจัดสรรการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่ละรายแตกต่างกัน แต่เจ้าหนี้ในกลุ่มเดียวกันจะได้รับการแบ่งปันที่เหมือนกัน และเจ้าหนี้ทุกรายจะได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำชี้แจงว่า เจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้รวม ๖ มูลหนี้ ได้แก่_ _ _ รวมเป็นหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ทั้งสิ้น ๕,๐๖๗,๖๐๑,๔๘๓.๙๗ บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งกำหนดสิทธิออกเสียงลงคะแนนของเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๓๐ โดยให้มีสิทธิออกเสียงในการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผนในมูลหนี้อันดับ ๒ มูลหนี้อันดับ ๓ เฉพาะเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญา และมูลหนี้อันดับ ๕ รวมเป็นจำนวนหนี้ ๑,๓๓๒,๔๓๑,๒๗๐.๑๔ บาท ส่วนมูลหนี้อันดับ ๓ ในส่วนเงินมัดจำเพื่อการสั่งซื้อเครื่องขุดเจาะอุโมงค์ และเงินมัดจำสำหรับสั่งซื้อเครื่องจักรและวัสดุ มูลหนี้อันดับ ๔ และมูลหนี้อันดับ ๖ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้งดออกเสียง ต่อมามีหลักฐานว่าเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้อันดับ ๒ เพิ่มเติมภายหลัง จึงได้กำหนดสิทธิให้เจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ออกเสียงลงคะแนนในการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในจำนวนหนี้ ๘๖๔,๐๐๑,๑๕๖.๒๒ บาท
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผน และให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๕๘ วรรคสุดท้าย ประกอบมาตรา ๙๐/๔๘ วรรคสี่ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ลูกหนี้และผู้ทำแผนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลางอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือ
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนข้อแรกว่า การที่แผนฟื้นฟูกิจการระบุชื่อผู้ค้ำประกันจำนวนวงเงินค้ำประกันขาดไปจะถือว่าแผนมีรายการไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๙๐/๕๘(๑) หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๔๒ บัญญัติว่า “ในแผนให้มีรายการต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย… (๔) การไถ่ถอนหลักประกันในกรณีที่มีเจ้าหนี้มีประกันและความรับผิดของผู้ค้ำประกัน…” และมาตรา ๙๐/๕๘ วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่แผนมีรายการไม่ครบถ้วนตามมาตรา ๙๐/๔๒ ให้ศาลสอบถามผู้ทำแผน ถ้าศาลเห็นว่ารายการในแผนที่ขาดไปนั้นไม่ใช่สาระสำคัญในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ให้ถือว่าแผนมีรายการครบถ้วนตามมาตรา ๙๐/๔๒” เมื่อได้พิจารณาบทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าวประกอบกันแล้ว แสดงให้เห็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในการพิจารณาแผนว่า ให้ศาลพิจารณาในส่วนซึ่งเป็นรายการที่เป็นสาระสำคัญในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ซึ่งศาลจะต้องพิจารณาถึงการฟื้นฟูกิจการแต่ละราย แต่ละลักษณะของกิจการไปว่ามีรายการในการฟื้นฟูกิจการตามแนวทางที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้นพอสมควรที่จะดำเนินการฟื้นฟูกิจการหรือไม่ ตลอดจนรายการที่ขาดไปนั้นถือเป็นเหตุเพียงพอที่ทำให้ศาลมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนหรือไม่ แม้ว่าในรายการเรื่อง ความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามมาตรา ๙๐/๔๒ (๔) ย่อมหมายความรวมถึงการระบุชื่อผู้ค้ำประกัน วงเงินความรับผิดตลอดจนผลของคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนต่อผู้ค้ำประกันดังกล่าวด้วย แต่ในคดีนี้ผู้ทำแผนได้ระบุชื่อผู้ค้ำประกันและวงเงินค้ำประกันไว้โดยละเอียดโดยผู้ทำแผนชี้แจงว่าเป็นการจัดทำตามข้อมูล เอกสารแห่งหนี้ และหลักประกันที่ลูกหนี้มีอยู่ ที่เจ้าหนี้รายที่ ๗๔ อ้างว่าแผนระบุชื่อผู้ค้ำประกันรวมวงเงินค้ำประกันไม่ครบถ้วนขาดอีก ๒ ราย ผู้ทำแผนก็ได้ชี้แจงว่า ผู้ทำแผนได้ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ของลูกหนี้แล้วไม่พบหนังสือค้ำประกันอีก ๒ ฉบับ ตามที่เจ้าหนี้รายที่ ๗๔ อ้าง และเมื่อเจ้าหนี้รายที่ ๗๔ ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มิได้มีการอ้างอิงหรือระบุถึงหนังสือค้ำประกัน ๒ ฉบับ แต่อย่างใด จึงแสดงว่าผู้ทำแผนได้พยายามแสดงหรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว อีกทั้งการที่ผู้ทำแผนระบุชื่อและความรับผิดของผู้ค้ำประกันไม่ครบถ้วนก็มิใช่รายการที่เป็นสาระสำคัญในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และหากศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดของผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่คำสั่งเห็นชอบด้วยแผนตามที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๖๐ วรรคสอง บัญญัติไว้อยู่แล้วกรณีจึงถือว่าแผนของลูกหนี้มีรายการครบถ้วนตามมาตรา ๙๐/๔๒ ประกอบกับมาตรา ๙๐/๕๘ (๑) แล้ว อุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนข้อต่อไปว่า การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันเป็นหลายกลุ่ม โดยเจ้าหนี้ไม่มีประกันแต่ละกลุ่มได้รับชำระหนี้แตกต่างกันขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๕๘ (๒) หรือไม่ เห็นว่า ในการทำแผนฟื้นฟูกิจการให้มีการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามมาตรา ๙๐/๔๒ (๓) ข การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ในบรรดาเจ้าหนี้ไม่มีประกันนั้นมาตรา ๙๐/๔๒ ทวิ (๓) บัญญัติว่า “เจ้าหนี้ไม่มีประกัน อาจจัดได้เป็นหลายกลุ่ม โดยให้เจ้าหนี้ไม่มีประกันที่มีสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์ที่มีสาระสำคัญเหมือนกันหรือทำนองเดียวกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน” เช่นนี้จึงแสดงให้เห็นว่า ในบรรดาเจ้าหนี้ไม่มีประกันทั้งหลายนั้น แผนฟื้นฟูกิจการยังอาจกำหนดจัดแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มได้ และในมาตรา ๙๐/๔๒ ทวิ วรรคสอง ได้บัญญัติถึงการคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ว่า “เจ้าหนี้รายใดเห็นว่าการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่ได้เป็นไปตามวรรคหนึ่งอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่ม และศาลอาจมีคำสั่งให้จัดกลุ่มเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยเร็ว คำสั่งศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด” คดีนี้เจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ซึ่งผู้ทำแผนจัดอยู่ในกลุ่มที่ ๑๔ ได้เคยใช้สิทธิคัดค้านการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันว่าตนเป็นเจ้าหนี้การค้าและควรได้รับการจัดกลุ่มเดียวกันกับเจ้าหนี้กลุ่มอื่น เช่นเจ้าหนี้กลุ่มที่ ๑๑ และกลุ่มที่ ๑๒ และควรได้รับชำระหนี้เช่นเดียวกันด้วย โดยได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลล้มละลายกลางก่อนวันนัดประชุมเพื่อพิจารณาแผน และศาลล้มละลายกลางได้วินิจฉัยว่าผู้ทำแผนได้จัดกลุ่มเจ้าหนี้ที่มีประกันและไม่มีประกันโดยคำนึงถึงหลักประกันหรือประเภทของหลักประกัน จำนวนหนี้ที่มีประกันและจำนวนหนี้ที่มีมากกว่าหลักประกัน รวมตลอดถึงที่มาแห่งหนี้แต่ละประเภทอย่างเป็นธรรมและเหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหนี้โดยรวมและลูกหนี้โดยชอบแล้ว ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด และยกคำร้องของเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ ดังกล่าว การจัดกลุ่มเจ้าหนี้รวมถึงเจ้าหนี้ไม่มีประกันตามแผนจึงถือว่าเป็นที่สุดแล้วตามมาตรา ๙๐/๔๒ ทวิ วรรคสุดท้าย ในส่วนการชำระหนี้ให้เจ้าหนี้แต่ละกลุ่มนั้นจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในทางธุรกิจในอันที่ให้กิจการของลูกหนี้ดำเนินการต่อไปได้ เกี่ยวกับเจ้าหนี้ในกลุ่มที่ ๑๑ มีเจ้าหนี้ ๒ ราย ได้แก่สำนักงานเอินสท์ แอนด์ ยัง จำกัด ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของลูกหนี้อันเป็นภาระหน้าที่ของลูกหนี้ที่ต้องดำเนินการตามปกติและตามกฎหมาย และบริษัทเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายและจัดทำสัญญาทางการค้ารวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ เกิดจากความจำเป็นในการดำเนินธุรกิจของลูกหนี้ ส่วนเจ้าหนี้ในกลุ่มที่ ๑๒ เป็นหนี้อันเกิดจากการที่ลูกหนี้ได้ทำสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินในการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้เงื่อนไขการกำกับการดูแลของคณะกรรมการส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งค่าธรรมเนียมที่เจ้าหนี้รายนี้มีสิทธิได้รับคิดคำนวณเป็นอัตราร้อยละจากมูลค่าหนี้ที่สามารถปรับโครงสร้างหนี้โดยข้อตกลงและความยินยอมของเจ้าหนี้สถาบันการเงินแต่ละราย ปัจจุบันการให้บริการได้สิ้นสุดลงแล้ว หากให้เจ้าหนี้กลุ่มที่ ๑๑ และกลุ่มที่ ๑๒ จะต้องได้รับชำระหนี้โดยการแปลงหนี้เป็นทุนเช่นเดียวกับเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ที่ทำธุรกิจกับลูกหนี้ก็คงไม่มีผู้ใดยินยอมให้บริการ การกำหนดให้เจ้าหนี้กลุ่มนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงินแตกต่างกับเจ้าหนี้การค้าอื่น ๆ จึงเป็นธรรมแล้ว ส่วนที่มาตรา ๙๐/๕๘ (๒) กำหนดให้ข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนนั้นจะต้องเป็นไปตามลำดับที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าด้วยการแบ่งทรัพย์สินในคดีล้มละลาย นั้น หมายความว่า จะต้องดำเนินการแบ่งทรัพย์สินไปตามลำดับบุริมสิทธิที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๑๓๐ (๑) ถึง (๖) ส่วนหนี้อื่นในมาตรา ๑๓๐ (๗) จะได้ส่วนแบ่งอย่างไรจะต้องเป็นไปตามการจัดกลุ่มเจ้าหนี้และข้อกำหนดในแผนฟื้นฟูกิจการ มิใช่ว่าหนี้อื่น ๆ ตามมาตรา ๑๓๐ (๗) จะต้องแบ่งเป็นส่วนเท่า ๆ กัน มิฉะนั้นแล้วการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ก็จะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเมื่อแผนกำหนดให้เจ้าหนี้รายที่ ๔ อยู่ในกลุ่มที่ ๘ และเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ อยู่ในกลุ่มที่ ๑๔ โดยได้รับชำระหนี้ตามแต่ละกลุ่มในหลักเกณฑ์เดียวกันอย่างเท่าเทียมกัน จึงเป็นแผนที่กำหนดถึงสิทธิของเจ้าหนี้ในกลุ่มเดียวกันได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันตามมาตรา ๙๐/๔๒ ตรี แผนจึงไม่ขัดต่อมาตรา ๙๐/๕๘ (๒) ดังที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยไว้แต่อย่างใด อุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนข้อสุดท้ายว่า กลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันที่ได้รับการชำระหนี้โดยการแปลงหนี้เป็นทุนจะได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า มาตรา ๙๐/๕๘ (๓) บัญญัติว่า “เมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จจะทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย” ในการพิจารณาหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ศาลจะต้องนำประมาณการรายได้ที่เจ้าหนี้ต่าง ๆ จะได้รับถ้าหากว่าศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย กล่าวคือ เป็นจำนวนเงินที่จะได้หากว่ามีการบังคับขายทรัพย์สินของลูกหนี้ กับรายได้ที่เจ้าหนี้จะได้รับถ้าหากว่ากิจการของลูกหนี้ได้ดำเนินการต่อไปภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการจนสำเร็จ การเปรียบเทียบดังกล่าวจะต้องเปรียบเทียบรายได้ที่จะได้รับภายใต้วันเวลาเดียวกัน กล่าวคือ วันที่แผนฟื้นฟูกิจการมีผลบังคับ ปรากฏตามแผนฟื้นฟูกิจการ หน้า ๖๔ ว่า หากลูกหนี้ล้มละลายและมีการบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้แล้ว ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ไม่ติดภาระผูกพันกับสถาบันการเงินต่าง ๆ เมื่อคิดตามสัดส่วนหนี้ทั้งหมดแล้วเจ้าหนี้ไม่มีประกันจะได้รับชำระหนี้ประมาณร้อยละ ๐.๓๖ ทั้งที่ในการคำนวณดังกล่าวยังไม่ได้รวมถึงส่วนของเจ้าหนี้ในกลุ่มที่ ๑๔ ถึงกลุ่มที่ ๑๖ เนื่องจากจำนวนเงินที่ขอรับชำระหนี้ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ และปรากฏจากคำชี้แจงของผู้ทำแผนว่า เจ้าหนี้รายที่ ๔ จะได้รับชำระหนี้ ๒,๙๐๐ บาท และเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ จะได้รับชำระหนี้ ๑๑๖,๗๐๐ บาท เท่านั้น ส่วนกรณีที่มีการฟื้นฟูกิจการดำเนินการตามแผนสำเร็จเจ้าหนี้รายที่ ๔ และเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ จะได้รับการชำระหนี้โดยการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งทำให้เจ้าหนี้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นและผู้ร่วมลงทุนในบริษัทลูกหนี้ จำนวนเงินที่ได้รับชำระหนี้ย่อมมีจำนวนเท่ากับราคาตลาดที่แท้จริงของหุ้นในวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนภายใต้สภาวการณ์ดำเนินการตามแผนสำเร็จ เมื่อพิจารณาแล้วตามแผนฟื้นฟูกิจการ หน้า ๖๕ ซึ่งคิดคำนวณมูลค่าหุ้นโดยใช้ฐานกำไรเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ณ ปี ๒๕๔๘ หุ้นของลูกหนี้จะมีมูลค่าในวันที่การฟื้นฟูกิจการเป็นผลสำเร็จเท่ากับ ๑๙.๓๐ บาท ต่อหุ้น ประกอบกับจำนวนหุ้นที่เจ้าหนี้จะได้รับ เจ้าหนี้รายที่ ๔ จะได้รับชำระหนี้ ๘๒๙,๐๒๕ หุ้น และเจ้าหนี้รายที่ ๘๐ จะได้รับชำระหนี้ ๓,๖๐๐,๐๐๐ หุ้น รวมทั้งราคาหุ้นซึ่งคำนวณตามบัญชีงบดุลแล้ว กรณีจึงเห็นได้แน่ชัดว่า เจ้าหนี้ผู้คัดค้านทั้งสองรายดังกล่าวได้รับการชำระหนี้โดยแปลงหนี้เป็นทุนมูลค่าตลาดที่แท้จริงมากกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย อุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนในข้อนี้ฟังขึ้นอีกเช่นกัน
เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้มีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดและการดำเนินการตามแผนนั้นมีโอกาสสำเร็จได้ ข้อเสนอในการชำระหนี้ไม่ขัดต่อมาตรา ๙๐/๔๒ ตรี ทั้งหากดำเนินการตามแผนสำเร็จจะทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย ประกอบกับการเห็นชอบด้วยแผนจะทำให้กิจการของลูกหนี้ดำเนินการต่อไปได้อันเป็นประโยชน์แก่พนักงานลูกจ้างของลูกหนี้ เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้นตลอดจนประชาชนทั่วไปและเศรษฐกิจของประเทศชาติโดยส่วนรวม ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนและมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการนั้น ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้ทำแผนทุกข้อฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๕๘ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการทั้งสองชั้นศาลให้เป็นพับ
นายเอื้อน ขุนแก้ว ผู้ช่วยฯ
นายสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายชีพ จุลมนต์ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ