แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีได้ยักยอกเงินของทางราชการไปในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการโจทก์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งคณะกรรมการได้ทำบันทึกเสนอโจทก์ผ่านกองวิชาการว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดด้วย แม้โจทก์จะไม่ได้เซ็นทราบในความเห็นนี้ แต่การที่กองวิชาการบันทึกเสนอความเห็นให้สอบสวนเพิ่มเติมเพื่อที่จะรู้ว่ายังมีใครอีกบ้างที่จะต้องรับผิดเป็นจำนวนเท่าใดและโจทก์ได้มีคำสั่งในบันทึกดังกล่าวเห็นชอบด้วยถือได้ว่าโจทก์ทราบตัวบุคคลผู้ที่จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วในวันนั้น โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช่ค่าสินไหมทดแทน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า เดิมจำเลยที่ ๑ เป็นหัวหน้าสำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี มีหน้าที่ควบคุมดูแลตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการอย่างเคร่งครัด แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ควบคุมตรวจตราดูแลการปฏิบัติราชการของผู้ใต้บังคับบัญชาโดยใกล้ชิด เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี ๒ และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ ยักยอกเงินราชการของสำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานีของโจทก์ไปในระหว่างวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๑๖ ถึงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๑๙ รวม ๒๐๑ ครั้งเป็นเงิน ๑,๓๕๓,๐๑๓ บาท จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ โจทก์ทราบการกระทำผิดและรู้ตัวบุคคลที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ และติดใจให้จำเลยทั้งสองรับผิดเพียง ๗๖๓,๘๗๕.๗๕ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน ๗๖๓,๘๗๕.๗๕ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังโดยปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบและข้อบังคับมิได้ประมาทเลินเล่อจำเลยที่ ๒ จะทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ตามฟ้องจริงหรือไม่ ไม่ทราบไม่รับรอง โจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปี นับแต่วันรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ขาดอายุความ พิพากษาให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงินแก่โจทก์ ๗๖๓,๘๗๕.๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ระหว่างที่จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่ง ได้ทุจริตต่อหน้าที่ราชการยักยอกเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและเงินอื่น ๆ ของทางราชการไป โจทก์จึงมีคำสั่งที่ ๑๐๑๑/๒๕๒๐ ลงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๐ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง ต่อมาวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๒๐ คณะกรรมการจึงทำบันทึกเสนอโจทก์ผ่านกองวิชาการว่าจำเลยที่ ๒ ยักยอกเงินไป ๑,๖๐๔,๔๓๘ บาท แต่ในช่วงที่จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งมีการทุจริต ๑,๓๕๕,๓๔๗ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย นอกจากนั้นยังมีบุคคลอื่นรับผิดชอบด้วยบางส่วน กองวิชาการเสนอบันทึกดังกล่าวต่อโจทก์พร้อมกับขอให้สั่งสอบสวนเพิ่มเติม รวมทั้งให้สรุปและมีความเห็นด้วยว่า ใครควรจะต้องรับผิดชอบมากน้อยเพียงใด ก่อนหรือหลังอย่างไรโดยเหตุผลอย่างไร และโจทก์มีคำสั่งลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๑ เห็นชอบกับความเห็นของกองวิชาการ ต่อมาวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๑ คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งทำบันทึกเสนอโจทก์ผ่านกองวิชาการอีกว่าได้สอบสวนเพิ่มเติมเสร็จแล้ว มีความเห็นให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชอบเท่าเดิม ส่วนคนอื่นเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่กองวิชาการทำบันทึกถึงโจทก์เสนอความเห็นให้สอบเพิ่มเติมอีก และโจทก์มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๒๑ เห็นชอบให้คณะกรรมการสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการสอบสวนเพิ่มเติมแล้วก็เสนอผ่านกองวิชาการอีก กองวิชาการทำบันทึกเสนอโจทก์เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ ว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิด ๗๖๓,๘๗๕.๗๕ บาท และโจทก์มีคำสั่งในวันเดียวกันเห็นชอบด้วย และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าคดีนี้โจทก์รู้ถึงการละเมิดแล้วอย่างน้อยตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๐ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวรู้รับผิดชอบในทางแพ่งส่วนตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น เห็นว่า เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะหัวหน้า ส่วนราชการจะต้องรับผิดชดใช้เงิน ๑,๓๕๕,๓๔๗ บาท แม้โจทก์จะไม่ได้เซ็นทราบในความเห็นนี้ แต่การที่กองวิชาการบันทึกเสนอความเห็นให้สอบสวนเพิ่มเติมโจทก์ก็มีคำสั่งในบันทึกดังกล่าว เห็นชอบด้วยเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๑ จึงต้องถือว่าโจทก์ทราบตัวบุคคลผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๑ นอกจากนี้เมื่อคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งสอบสวนเพิ่มเติมแล้วก็บันทึกเสนอความเห็นมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๑ ว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดชอบเท่าเดิม การที่กองวิชาการบันทึกเสนอความเห็นให้สอบสวนเพิ่มเติมอีก เป็นแต่เพียงวิธีการที่จะรู้ว่ายังมีใครอีกบ้างที่จะต้องรับผิดเป็นจำนวนเท่าใดเท่านั้น หาใช่โจทก์ยังไม่รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ มิฉะนั้นอายุความหนึ่งปีที่กำหนดไว้ก็จะขยายออกไปได้เรื่อย ๆ แล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลา ๑ ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘
พิพากษายืน