คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3307/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเป็นครู รู้จักหรือเป็นที่รู้จักของบุคคลในหมู่บ้านหรือท้องถิ่นเดียวกันเป็นอย่างดี นับถือศาสนาคริสต์ ด้วยกันปฏิบัติศาสนกิจที่โบสถ์เดียวกันดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองโฆษณาต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งรู้จักจำเลยเป็นอย่างดี หาใช่โฆษณาต่อบุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดว่าเป็นบุคคลใดไม่ การโฆษณาของจำเลยทั้งสองยังไม่เป็นการโฆษณาต่อประชาชนอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 341, 343
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งทำความเห็นแย้งอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้แต่ผู้ลงชื่อในช่องผู้อุทธรณ์มิได้เป็นทนายความของโจทก์ที่ 3 ด้วย จึงเท่ากับว่าโจทก์ที่ 3มิได้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาข้อแรกว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 หรือไม่ โจทก์ทั้งสามเบิกความเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองได้โฆษณาหลอกลวงประชาชนที่บ้านหนองคู ตำบลนาเวียงอำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์หยุดงานวันอาทิตย์และเข้าโบสถ์ ก่อนเข้าโบสถ์จะนั่งจับกลุ่มคุยกันกลุ่มละ 5 คน ถึง 10 คน จำเลยทั้งสองโฆษณาต่อประชาชนที่มาเข้าโบสถ์ดังกล่าวว่า จำเลยทั้งสองเป็นหุ้นส่วนในบริษัทเทเลเทรด จำกัด ซึ่งสามารถส่งคนงานไปทำงานต่างประเทศได้เห็นว่า ประชาชนเหล่านั้นต่างเป็นคนหมู่บ้านหรือท้องถิ่นเดียวกันนับถือศาสนาคริสต์ด้วยกัน ปฏิบัติศาสนกิจที่โบสถ์เดียวกันจำเลยทั้งสองเป็นครูย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้าน ดังที่พยานโจทก์ทุกคนต่างรู้จักจำเลยทั้งสอง โดยเฉพาะนายแจ้ง วงศ์อนันต์พยานโจทก์ซึ่งเคยเป็นกำนันตำบลนาเวียงมาก่อนเบิกความว่า ตามปกติในหมู่บ้านมักจะให้ครูบาอาจารย์เป็นผู้นำในการทำกิจกรรมต่าง ๆร่วมกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน จำเลยทั้งสองทำกิจกรรมช่วยเหลือลูกบ้านมาตลอด เช่นงานแต่งงาน งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เกือบจะเป็นหัวหน้างานในการดำเนินงาน จำเลยทั้งสองสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวกับชาวบ้านไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เป็นคนสุภาพเรียบร้อย เอาใจใส่ลูกศิษย์ลูกหาและขยันหมั่นเพียรในการทำงาน จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองรู้จักหรือเป็นที่รู้จักของบุคคลที่มาชุมนุมจับกลุ่มกันก่อนเข้าโบสถ์ดีทุกคน จำเลยทั้งสองโฆษณาต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งรู้จักจำเลยเป็นอย่างดี หาใช่โฆษณาต่อบุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดว่าเป็นบุคคลใดไม่ การโฆษณาของจำเลยทั้งสองยังไม่เป็นการโฆษณาต่อประชาชนอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้นั้น ปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีสำราญ พิมพ์สุต พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเสนางคนิคมพยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2529นายกุล สัญญาลักษณ์ ไปปรึกษาพยานที่บ้านพักว่าถูกจำเลยที่ 1โกงเงิน พยานได้หมายเรียกจำเลยที่ 1มาสอบถามจำเลยที่ 1 ปฏิเสธพยานจึงยังไม่ได้ทำอะไรและยังไม่ได้รับแจ้งความ ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือของสถานีตำรวจภูธรอำเภอเสนางคนิคม ลงวันที่ 28 กันยายน2531 ที่แจ้งต่อศาลชั้นต้นว่าไม่มีเอกสารบันทึกประจำวันหรือสำเนาเอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่นายกุลแจ้งความ จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสามมอบอำนาจให้นายกุลร้องทุกข์ สำหรับข้อหานี้แล้วเมื่อโจทก์ทั้งสามรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2529 แต่มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน2530 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ทั้งสามย่อมระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6)ไม่จำต้องวินิจฉัยการกระทำความผิดข้อหานี้ต่อไป…”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share