แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความผิดฐานรับของโจรต้องเกิดหลังจากมีการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์รถจักยานยนต์เกิดขึ้นแล้ว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำความผิดฐานรับของโจรเกิดขึ้นก่อนย่อมเป็นคำฟ้องที่ขัดต่อสภาพและลักษณะของการกระทำความผิดอย่างชัดเจน จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2546 เวลากลางวัน ได้มีคนร้ายลักเอารถจักรยานยนต์ 1 คัน ราคา 20,000 บาท ของนางมณิดา รัชมาศหรือแก้วพิกุล ผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปขณะอยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นของกลาง ทั้งนี้ ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหาย หรือมิฉะนั้นเมื่อระหว่างวันที่ 3 สิงหาคม 2546 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันรับของโจร โดยร่วมกันรับเอาของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ เหตุรับของโจรเกิดที่ตำบลหนามแท่ง อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 357, 83
จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามคำรับสารภาพได้หรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องข้อ 1 เกี่ยวกับความผิดฐานลักทรัพย์ โจทก์บรรยายว่า “เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2546 เวลากลางวันได้มีคนร้ายบังอาจลักเอารถจักรยานยนต์ 1 คัน…ของนางมณิดา รัชมาศหรือแก้วพิกุลผู้เสียหายไป…” แต่ในคำฟ้องข้อ 2 ความผิดฐานรับของโจร โจทก์กลับบรรยายว่า ต่อมาวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 เวลากลางวันเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวในฟ้องที่ 1 ขณะที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นของกลาง…เมื่อระหว่างวันและเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ถึงวันเวลาดังกล่าวในฟ้องที่ 2 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลย…บังอาจร่วมกันรับของโจร โดยร่วมกันรับเอาของกลาง ซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหาย ซึ่งถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1..”ซึ่งความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดที่เกิดจากการกระทำอันเป็นการอุปการะความผิดฐานลักทรัพย์หรือความผิดอื่นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 เช่น ช่วย ซื้อ จำหน่าย หรือรับไว้โดยประการอื่นใด เป็นต้น ความผิดฐานรับของโจรจึงต้องเกิดหลังจากมีการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์รถจักรยานยนต์เกิดขึ้นแล้ว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำความผิดฐานรับของโจรเกิดขึ้นก่อนย่อมเป็นคำฟ้องที่ขัดต่อสภาพและลักษณะของการกระทำความผิดอย่างชัดเจน จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ แม้จำเลยจะมิยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นพิจารณาได้”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง