คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินออกเอกสารสิทธิสำหรับที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ครอบทับที่พิพาทที่โจทก์ครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบเอกสารสิทธิสำหรับที่พิพาทเพื่อเพิกถอนหรือแก้ไขให้เป็นชื่อโจทก์ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอบังคับให้สิทธิครอบครองในที่พิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทมีราคาไม่เกิน 300,000 บาท จึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงนครราชสีมาที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ศาลจังหวัดนครราชสีมาชอบที่จะโอนคดีไปให้ศาลแขวงพิจารณาพิพากษาต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นว่านายมา ผันงูเหลือม ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน เนื้อที่ 1ไร่ 5 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลโตนด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อปี 2515 นายผันได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ประมาณเดือนธันวาคม 2545 โจทก์พบว่าจำเลยที่ 1 ออกเอกสารสิทธิสำหรับที่ดินแปลงที่โจทก์ครอบครองให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทั้งสองออกเอกสารสิทธิครอบทับที่ดินของโจทก์ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ขอให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบเอกสารสิทธิ น.ส3.ก. เลขที่ 1430 ตำบลโตนด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ต่อจำเลยที่ 1 เพื่อเพิกถอนหรือแก้ไข หากขัดขืนให้จำเลยที่ 1 ออกใบแทนแล้วทำการเพิกถอนหรือแก้ไขชื่อในเอกสารสิทธิดังกล่าวให้เป็นเชื่อโจทก์ หากขัดขืนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทดังกล่าว นายอำเภอโนนสูงซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในขณะนั้นได้กระทำและดำเนินการไปโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วเพราะเป็นการออกให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่พิพาทจริง จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจเพิกถอนและแก้ไขในกรณีที่มีการออกเอกสารสิทธิพลาดเพราะเป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดิน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ในวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกิน 300,000 บาทซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง จึงให้โอนคดีไปให้ศาลแขวงนครราชสีมาพิจารณาพิพากษาจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ศาลแขวงนครราชสีมามีคำสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา ให้โอนสำนวนคืนศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและมีคำสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จำเลยที่ 1 ออกเอกสารสิทธิสำหรับที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ครอบทับที่พิพาทที่โจทก์ครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบเอกสารสิทธิสำหรับที่พิพาทเพื่อเพิกถอนหรือแก้ไขให้เป็นชื่อโจทก์ กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องและมีคำขอบังคับให้สิทธิครอบครองในที่พิพาทกลับคืนมาเป็นโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทมีราคาไม่เกิน 300,000 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงนครราชสีมาที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ศาลชั้นต้นชอบที่จะโอนคดีเรื่องนี้ไปให้ศาลแขวงพิจารณาพิพากษาต่อไป คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว ที่ศาลแขวงนครราชสีมามีคำสั่งไม่รับโอนคดีไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายกคำสั่งศาลแขวงนครราชสีมา ให้ศาลแขวงนครราชสีมารับโอนคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share