คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันเพิกถอนนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรวม 3 ฉบับ ซึ่งเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่โจทก์ระบุคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ว่า หากจำเลยทั้งสิบเพิกเฉยให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000,000,000 บาท และค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ 2,000,000 บาท นับถัดจากวันครบกำหนดตามคำบังคับ ดังนั้นในส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 2,000,000,000 บาท เป็นการกำหนดจำนวนค่าเสียหายแล้ว จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนค่าเสียหาย 2,000,000,000 บาท มิใช่ค่าเสียหายอนาคตที่กำหนดให้ชำระเป็นระยะเวลาในอนาคต คดีโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันเพิกถอนนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2549 วันที่ 4 มิถุนายน 2549 และวันที่ 5 มิถุนายน 2549 หากพ้นกำหนดตามคำบังคับ 30 วัน แล้ว จำเลยทั้งสิบเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมชดใช้ค่าเสียหายอนาคตให้แก่โจทก์จำนวน 2,000,000,000 บาท พร้อมค่าเสียหายอนาคตเป็นรายเดือน เดือนละ 2,000,000 บาท นับถัดจากวันครบกำหนดตามคำบังคับจนกว่าจำเลยทั้งสิบจะปฏิบัติตามคำขอดังกล่าวจนเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสิบให้การทำนองเดียวกันว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วว่าโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนบริษัทการกีฬาและการท่องเที่ยวพัทยา จำกัด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ต้องชำระค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ มิฉะนั้นขอให้ศาลไม่รับคำฟ้องและจำหน่ายคดี กับขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำฟ้องและคำขอบังคับข้อ 1 เป็นการฟ้องเพื่อให้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ถือเป็นคดีที่มีคำขอให้ ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เป็นเงิน 2,000,000,000 บาท ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลส่วนที่ยังขาดอยู่ให้ครบถ้วนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2559 หากพ้นกำหนดถือว่าทิ้งฟ้อง
โจทก์โต้แย้งคำสั่งและยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระค่าขึ้นศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2559
วันที่ 8 เมษายน 2559 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ และยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ว่า คำสั่งของศาลชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอน และไม่มีเหตุที่จะต้องไต่สวนตามคำร้องขอของโจทก์ ยกคำร้อง โจทก์ยังไม่ได้ชำระค่าขึ้นศาลภายในกำหนด จึงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า คดีโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันเพิกถอนนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรวม 3 ฉบับ ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่โจทก์ระบุในคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ว่า หากจำเลยทั้งสิบเพิกเฉย ให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,000,000,000 บาท และชำระค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ 2,000,000 บาท นับถัดจากวันครบกำหนดตามคำบังคับจนกว่าจำเลยทั้งสิบจะปฏิบัติตามคำขอดังกล่าวแก่โจทก์ ดังนั้นในส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 2,000,000,000 บาท เป็นการกำหนดจำนวนค่าเสียหายแล้ว จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนค่าเสียหาย 2,000,000,000 บาท มิใช่ค่าเสียหายอนาคตที่กำหนดให้ชำระเป็นระยะเวลาในอนาคตตามที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share