คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฟ้องคดีแพ่งว่า ม.บุกรุกที่ดินของจำเลย ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แต่ม.แย่งการครอบครองไปแล้ว คงเป็นของจำเลย 15 ไร่ ระหว่างฎีกาจำเลยจ้างคนเข้าหยอดปอในที่ดินส่วนที่ศาลพิพากษาว่าเป็นของม. และพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุก ศาลพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าที่ดินที่กล่าวหายังพิพาทเป็นคดีแพ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฟังไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิโดยแน่แท้ ยังไม่มีมูลความผิดทางอาญาคดีถึงที่สุด ต่อมาเมื่อคดีแพ่งยุติลงว่าที่ดินเป็นของจำเลย 15 ไร่แล้ว จำเลยได้จ้างคนเข้าไถที่ดินที่เป็นส่วนของม.อีก ดังนี้ จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทตั้งแต่เข้าหยอดปอ ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องฐานบุกรุกไปแล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยยังไม่ยอมสละการครอบครอง มิใช่เข้าไปไถที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองใหม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2518 จำเลยร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินของ ค. เนื้อที่ 57 ไร่ เพื่อถือการครอบครอง และใช้รถไถพรวนดินทั้งแปลงอันเป็นการรบกวนการครอบครอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,365

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 3 เดือน ข้อหาสำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยก

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่ดินที่กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเป็นที่สำหรับปลูกปอเมื่อเก็บเกี่ยวปอแล้วก็ว่างมิได้ทำประโยชน์ เดิมจำเลยครอบครองทำไร่ปอมาก่อนแล้วถูกฝ่ายผู้เสียหายแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2512 ครั้น พ.ศ. 2515จำเลยแย่งการครอบครองคืนและคงครอบครองตลอดมาจนบัดนี้ หาใช่เพิ่งบุกรุกที่ดินในวันเวลาฟ้องไม่ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นกรณีพิพาททางแพ่งพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อ พ.ศ. 2513 จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องต่อศาลจังหวัดชัยภูมิ ขอให้ห้าม ม. บิดา ค. ผู้เสียหายคดีนี้ มิให้เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินเนื้อที่ 63 ไร่เศษของ จำเลยที่ 1 ม. ต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของตน ศาลจังหวัดชัยภูมิฟังว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินอยู่เพียง 15 ไร่ นอกนั้นถูก ม. แย่งการครอบครองพิพากษาว่าส่วนหนึ่งของที่พิพาท 15 ไร่ เป็นของจำเลยที่ 1 ห้าม ม. และบริวารเกี่ยวข้อง คำขออื่นให้ยก จำเลยที่ 1 และ ม. อุทธรณ์ฎีกาต่อมาศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน เดือนมีนาคม 2515 ในระหว่างคดีจำเลยจ้าง ส. กับพวกหยอดปอในที่ดินส่วนที่ศาลจังหวัดชัยภูมิฟังว่าเป็นของม. พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกว่าบุกรุก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินที่กล่าวหา จำเลยที่ 1 กับ ม. ยังพิพาทเป็นคดีแพ่งอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกายังฟังไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิโดยแน่แท้ เป็นการแย่งกันทำกินมากกว่า ยังไม่มีมูลความผิดทางอาญา พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด และจำเลยที่ 1 ได้ทำไร่ปอในที่พิพาทต่อมาจนศาลฎีกาพิพากษาคดีแพ่งและศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา ศาลฎีกาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน2517 ต่อมาวันที่ 13 มกราคม 2518 จำเลยที่ 1 ได้จ้างจำเลยที่ 2 ไถที่ดินพิพาทค. ไปแจ้งความ จำเลยที่ 1 จึงถูกฟ้องคดีนี้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทตั้งแต่พ.ศ. 2515 แล้วหาใช่เพิ่งเข้าไปเมื่อ พ.ศ. 2518 ไม่ การเข้ายึดถือครอบครองที่พิพาทในครั้งนั้นเป็นการเข้าครอบครองโดยจำเลยที่ 1 ถือว่าที่พิพาทเป็นของตนไม่ใช่เข้าแย่งการครอบครองที่ดินผู้อื่น ซึ่งศาลก็ได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่าไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานบุกรุก การที่จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองที่พิพาทต่อมา โดยจ้างจำเลยที่ 2 ไถที่พิพาทเมื่อถึงฤดูทำปอใน พ.ศ. 2518 ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าที่พิพาทไม่ใช่ของตนนั้น เป็นเรื่องไม่ยอมสละการครอบครอง หาเป็นความผิดทางอาญาดังฟ้องไม่ เจ้าของที่พิพาทชอบที่จะดำเนินคดีแพ่งกับจำเลยที่ 1 ต่อไป

พิพากษายืน

Share