คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาให้ที่ดิน ผู้รับให้ไม่โอนที่ดินแก่ผู้อื่นต่อไปกึ่งหนึ่งตามที่ตกลงไว้กับผู้ให้ กลับเอาที่ดินไปจำนอง ผู้ให้ฟ้องบังคับให้ผู้รับให้ไถ่จำนองและโอนกึ่งหนึ่งแก่คนภายนอกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีบุตร 2 คน คนแรกชื่อนายเฉลิม พงษ์ประเสริฐคนที่สองคือจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 2 โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 519 โจทก์ต้องการยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่นายเฉลิมและจำเลยที่ 1คนละครึ่งจำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์โดยพาโจทก์ไปที่สำนักงานทะเบียนที่ดิน ขอให้โจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือลงในช่องผู้ให้ในหนังสือสัญญาให้ที่ดิน จำเลยที่ 1 บอกว่าให้โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 ทั้งแปลงก่อน แล้วจำเลยที่ 1 จะแบ่งให้นายเฉลิมครึ่งหนึ่งภายหลัง และจะระบุข้อตกลงไว้ในหนังสือสัญญาให้ โจทก์จึงลงลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือสัญญาให้ เมื่อประมาณ1 เดือนเศษมานี้ โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่แบ่งที่ดินให้นายเฉลิมตามข้อตกลงจึงบอกให้จำเลยที่ 1 จัดการตามข้อตกลง จำเลยที่ 1 ปฏิเสธว่าไม่มีข้อตกลงดังกล่าว โจทก์จึงไปดูหนังสือให้ที่สำนักงานทะเบียนที่ดิน จึงทราบว่าจำเลยที่ 1 มิได้ระบุข้อตกลงดังกล่าวไว้ในสัญญาให้และจำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีจำนองที่พิพาทไว้กับธนาคาร ยังไม่ได้ไถ่ถอนจนบัดนี้ สัญญาให้จึงไม่สมบูรณ์ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองที่พิพาทโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการไถ่ถอน และแบ่งที่พิพาทไถ่ถอนแล้วให้แก่นายเฉลิมครึ่งหนึ่งโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการให้ ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองมิได้หลอกลวงโจทก์ให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญาให้ และไม่เคยตกลงว่าจะแบ่งที่พิพาทให้นายเฉลิม ฯลฯ

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดการชี้สองสถานและงดสืบพยาน พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ได้ขอมาในคำขอท้ายฟ้องแล้วว่า ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนั้นในกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จะด้วยเหตุใดก็ตาม โจทก์ก็อาจไถ่ถอนที่ดินพิพาทอันมีผลผูกพันส่วนที่จะยกให้นายเฉลิมเสียเอง แล้วมาฟ้องเรียกร้องเอาค่าไถ่ถอนดังกล่าวคืนจากจำเลยทั้งสองเป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้ การที่โจทก์ระบุในคำขอท้ายฟ้องแต่เพียงว่า ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะทำให้คำขอของโจทก์บังคับได้แล้ว ผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็อาจร้องสอดหรืออาจถูกเรียกให้เข้ามาในคดีนี้ได้อยู่แล้ว หรือคู่กรณีจะเลือกฟ้องร้องกันใหม่เป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้กรณีดังกล่าวหาทำให้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองบังคับไม่ได้แต่ประการใดไม่ ตามความประสงค์ของโจทก์ตามคำขอนี้ก็คือโจทก์ต้องการให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งให้แก่นายเฉลิมโดยปลอดจำนองเท่านั้น ซึ่งถ้าปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญารับให้ที่ดินพิพาทไว้กับโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 จะโอนที่ดินพิพาทให้กับนายเฉลิมครึ่งหนึ่งในภายหลังจริงดังที่โจทก์บรรยายฟ้องแล้ว จำเลยก็ถูกผูกมัดโดยสัญญาดังกล่าวที่จะต้องโอนที่ดินพิพาทให้แก่นายเฉลิมตามที่โจทก์ขอมา ส่วนการที่นายเฉลิมจะรับให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งในชั้นบังคับคดี ซึ่งหามีผลทำให้คำขอของโจทก์ในประเด็นนี้บังคับไม่ได้แต่อย่างไรไม่

พิพากษายืน

Share