แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือบริคณห์สนธิเป็นเพียงหนังสือที่จำเลยจัดทำขึ้น เพื่อจะนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ยังไม่มีเจ้าพนักงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ และไม่ใช่สำเนาเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ จึงไม่เป็นเอกสารราชการตามความใน ป.อ. มาตรา 1 (8)
จำเลยรู้อยู่แล้วว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในหนังสือบริคณห์สนธิเป็นลายมือชื่อปลอม แต่จำเลยก็ยังส่งมอบหนังสือดังกล่าวให้แก่ จ. เพื่อนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียน การกระทำของจำเลยจึงน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม จ. นายทะเบียน ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเอกสารดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 264, 265, 268, 91 ริบของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ฉ้อโกงจำนวน 1,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางหนูแพง ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 แต่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 2 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี คุมความประพฤติของจำเลย โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนด 2 ปี กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรกำหนด จำนวน 24 ชั่วโมง หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ด้วย คืนของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอมหรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยร่วมกับบุคคลอื่นอีก 6 คน ก่อตั้งบริษัทรื่นรมย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ตามสำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ มีโจทก์ร่วมเป็นผู้เริ่มก่อการอยู่ในลำดับที่ 2 ก่อนจดทะเบียนตามหนังสือดังกล่าว จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ร่วมจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อร่วมลงทุนในการก่อตั้งบริษัท มีปัญหาที่ต้องพิจารณาคือลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในหนังสือบริคณห์สนธิเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเท่าที่นำสืบเมื่อฟังประกอบความเห็นของผู้ชำนาญการพิเศษคือ พันตำรวจโทสมชายในการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อโจทก์ร่วมตามผลการตรวจพิสูจน์เอกสารแล้ว ฟังเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในหนังสือบริคณห์สนธิ เป็นลายมือชื่อปลอม อย่างไรก็ดี แม้ทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งจะฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยเคยนำกระดาษเปล่ามาให้โจทก์ร่วมลงลายมือชื่อไว้ ซึ่งโจทก์ร่วมได้ลงลายมือชื่อไว้เต็มหน้ากระดาษอันเป็นการส่อพิรุธว่าจำเลยจะนำลายมือชื่อดังกล่าวให้เป็นตัวอย่างในการปลอม แต่ทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่มีผู้ใดเห็นว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมในพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมในส่วนที่ว่าจำเลยปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมดังกล่าวหรือไม่ จึงยังมีความสงสัยตามสมควร จำเป็นต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยในส่วนนี้แก่จำเลย แต่พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเท่าที่นำสืบฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าลายมือชื่อของโจทก์ร่วมเป็นลายมือชื่อปลอม แต่จำเลยก็ยังส่งมอบเอกสารดังกล่าวแก่นายเจษฎาเพื่อนำไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทต่อนายทะเบียน ดังนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการใช้เอกสารปลอมดังกล่าว โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม นายเจษฎา นายทะเบียนที่เกี่ยวข้องตลอดจนประชาชนทั่วไปที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงเอกสารที่ทางฝ่ายจำเลยได้จัดทำขึ้นเพื่อนำไปใช้ยื่นต่อนายทะเบียนเพื่อขอจดทะเบียนเป็นหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นต่อไปเท่านั้น เป็นเอกสารที่ยังไม่มีเจ้าพนักงานเข้าเกี่ยวข้อง จึงไม่ใช่เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ หรือเป็นสำเนาเอกสารที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ จึงมิใช่เอกสารราชการตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (8) การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 อันทำให้มีโทษหนักขึ้นตามที่โจทก์ฟ้องและฎีกา แต่ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารราชการปลอมอันเป็นฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า รวมทั้งกำหนดโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อย่างไรก็ดี ตามพฤติการณ์แห่งคดี เมื่อจำเลยได้เงินของโจทก์ร่วมมาแล้วได้นำเงินทั้งหมดมาลงทุนจัดตั้งบริษัทซื้อขายที่ดินจริงตามที่ได้แจ้งแก่โจทก์ร่วม และลงหุ้นให้โจทก์ร่วมเต็มตามจำนวนเงิน แสดงว่ามิได้มีเจตนาที่จะฉ้อโกงโจทก์ร่วม แต่อาจด้วยเหตุที่มาดำเนินการในช่วงที่ประเทศประสบภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ทำให้บริษัทขาดทุน ไม่อาจมีเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น แต่บริษัทก็ยังคงดำเนินกิจการเรื่อยมาจนปัจจุบัน โดยมีจำเลยเป็นผู้ดำเนินการ หากให้จำเลยต้องโทษจำคุก กิจการของบริษัทอาจเสียหาย ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ร่วมเพราะจะมีโอกาสได้เงินคืนน้อย ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีสักครั้ง โดยรอการลงโทษจำคุกไว้ก่อน และจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลชั้นต้นกำหนดในการคุมประพฤติจำเลยแล้ว จึงไม่จำต้องคุมประพฤติจำเลยอีก แต่เพื่อให้หลาบจำให้ลงโทษปรับด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก วางโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4