คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยมีมติให้ถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ทั้งสองอันมีมูลเหตุมาจากการที่โจทก์ทั้งสองเป็นพยานในคดีที่นางสาว ก. ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในกรณีจำเลยสั่งเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้จำเลยแพ้คดีต้องชำระเงินค่าเสียหายแก่นางสาว ก. ย่อมเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และมีคำขอบังคับโดยขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมดังกล่าว ทั้งมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า การลงมติดังกล่าวไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่คำฟ้องโจทก์ไม่บรรยายว่า การกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยข้อบังคับอย่างไร การกระทำที่ไม่ชอบนั้นเป็นอย่างไร การกระทำอย่างไรไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2511 นั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณาและการวินิจฉัยปัญหานี้เป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยพิเคราะห์จากคำฟ้องโดยตรง โจทก์จะนำสืบหรือไม่อย่างไรจึงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยถึง เมื่อคำฟ้องโจทก์มีสาระครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้วจึงไม่เคลือบคลุม การที่โจทก์ที่ 1 ทำหนังสือยอมรับมติของคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยในการเลิกจ้างนางสาว ก. เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ที่ 1กับจำเลย นางสาว ก. มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย การฟ้องคดีเป็นสิทธิส่วนตัว โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจที่จะบังคับไม่ให้นางสาว ก.ฟ้องคดีได้ ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 แสดงตนเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต่อจำเลยหรือทำให้จำเลยเสียหายอันเป็นเหตุให้ที่ประชุมลงมติถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ที่ 1 มติของที่ประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสมาชิกของจำเลยและเป็นกรรมการดำเนินการด้วย จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์บริการ เมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ 2531 จำเลยได้ประชุมคณะกรรมการดำเนินการครั้งที่ 2(10)/2531 และมีมติถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ทั้งสองโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ทั้งสองทำการไม่ซื่อตรงหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ของจำเลย ตามข้อบังคับ พ.ศ. 2518 ข้อ 13(9) การลงมติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและความเป็นธรรม ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยดังกล่าว
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายว่าข้อบังคับของจำเลยข้อ 13 มีอย่างไร จำเลยทำผิดพระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. 2511 อย่างไร โจทก์ทั้งสองทำผิดข้อบังคับของจำเลย ข้อ 13(9)ที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการครั้งที่ 2 (10)/2531 จึงถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ทั้งสองเนื่องจากโจทก์ที่ 1 ได้ให้คำมั่นต่อที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการว่าโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นสามีนางสาวเกษมศานต์ขอยอมรับมติที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการในการเลิกจ้างนางสาวเกษมศานต์ โดยจำเลยยอมจ่ายเงินทดแทนให้6 เดือน และจะแจ้งให้นางสาวเกษมศานต์มารับเงินไปกับจะไม่ให้มีปัญหาอีก หลังจากรับเงินแล้วนางสาวเกษมศานต์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลาง โจทก์ทั้งสองไปเบิกความเป็นพยานฝ่ายนางสาวเกษมศานต์เป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลย พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการไม่ซื่อตรง หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือประโยชน์ของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม มติของที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการครั้งที่ 2 (10)/2531 ไม่ชอบด้วยข้อบังคับและกฎหมาย และโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีได้โดยไม่จำต้องอุทธรณ์ข้อวินิจฉัยต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีก่อน พิพากษาให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการดำเนินการของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า ที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยมีมติให้ถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์อันมีมูลเหตุมาจากการที่โจทก์ทั้งสองเป็นพยานในคดีที่นางสาวเกษมศานต์ ชมภูแดงฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในกรณีที่จำเลยสั่งเลิกจ้างนางสาวเกษมศานต์โดยไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้จำเลยแพ้คดีจำต้องชำระเงินค่าเสียหายแก่นางสาวเกษมศานต์ย่อมเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และมีคำขอบังคับโดยขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมดังกล่าว ทั้งมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าการลงมติดังกล่าวไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่จำเลยอ้างว่าคำฟ้องโจทก์ไม่บรรยายว่าการกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยข้อบังคับอย่างไร การกระทำที่ชอบนั้นเป็นอย่างไร การกระทำอย่างไรไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. 2511 นั้น เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณาสำหรับข้อที่จำเลยอ้างว่า ในการนำสืบของโจทก์ก็มิได้นำสืบถึงการกระทำของจำเลยดังกล่าวนั้น เห็นว่า ปัญหาข้อแรกนี้มีข้อที่จะต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่อันเป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นที่พิเคราะห์ได้จากคำฟ้องของโจทก์โดยตรง โจทก์จะนำสืบหรือไม่อย่างไรจึงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยถึง เมื่อคำฟ้องของโจทก์มีสาระครบถ้วนตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้วจึงไม่เคลือบคลุมตามที่จำเลยกล่าวอ้าง
ปัญหาว่ามติที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการครั้งที่ 2(10)/2531 ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่าการที่โจทก์ที่ 1 ทำหนังสือยอมรับมติของคณะกรรมการดำเนินการในการเลิกจ้างนางสาวเกษมศานต์เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ที่ 1กับคณะกรรมการดำเนินการของจำเลย นางสาวเกษมศานต์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ประกอบกับการฟ้องคดีของนางสาวเกษมศานต์เป็นสิทธิส่วนตัว โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจที่จะบังคับไม่ให้นางสาวเกษมศานต์ฟ้องคดีได้ ส่วนจำเลยมีทนายความเป็นที่ปรึกษาอยู่ด้วยน่าจะรู้ถึงความข้อนี้ดีและควรหาทางแก้ไขอย่างอื่นมากกว่าการกล่าวโทษว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้ซึ่งโจทก์ที่ 1 อาจดำเนินการได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ได้ พฤติการณ์ของโจทก์ที่ 1 ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 แสดงตนเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต่อจำเลยหรือทำให้จำเลยเสียหายอันเป็นเหตุให้ที่ประชุมลงมติถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ที่ 1 มติของที่ประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบ
พิพากษายืน

Share