คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3291/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินเปอร์เซ็นต์จากการขายสินค้า ค่าเสียหายและค่าชดเชย จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ต่อมาวันที่ 19 ตุลาคม 2535 โจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลแรงงานกลางสั่งจำหน่ายคดีทั้งหมดออกเสียจากสารบบความ ในวันเดียวกันนั้นโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีเข้ามาใหม่ในข้อหาเดียวกับฟ้องเดิม ต่อมาวันที่ 3 พฤศจิกายน 2535จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งอ้างว่า การที่ศาลแรงงานกลางสั่งจำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยด้วยเป็นการไม่ชอบ ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ จากนั้นวันที่ 13 พฤศจิกายน 2535 จำเลยได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวและส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ดังนี้ เมื่อศาลแรงงานกลางได้สั่งจำหน่ายคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ด้วยเหตุที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์จึงไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอีกต่อไปโจทก์ย่อมยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันเป็นคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลางในวันเดียวกันหลังจากศาลแรงงานกลางสั่งจำหน่ายคดีไปแล้ว ไม่เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1) แต่อย่างใดส่วนที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลแรงงานกลางในวันต่อมานั้นเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่จำหน่ายคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งเป็นคดีคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมของโจทก์ การยื่นอุทธรณ์และคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ถือว่าคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาอันจะเป็นเหตุให้ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนเช่นกัน อย่างไรก็ตามในเมื่อต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาจึงทำให้ฟ้องแย้งของจำเลยในคดีนี้ที่ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายเช่นเดียวกับที่เคยขอในคดีก่อนเป็นฟ้องซ้อนและปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ดังนั้น อุทธรณ์ของจำเลยในส่วนของฟ้องแย้งจึงไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายเป็นเงิน 30,000บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 30,000 บาทเงินเปอร์เซ็นต์จากการขายสินค้าเป็นเงิน 15,000 บาท ค่าเสียหายเป็นเงิน 60,000 บาท และค่าชดเชยเป็นเงิน 90,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายจำนวน 70,000 บาท และชดใช้เงินตามข้อตกลงเป็นเงิน89,169.66 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินเดือนประจำเดือนสิงหาคม 2535 จำนวน 30,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 30,000 บาท ค่าชดเชยจำนวน 90,000 บาทและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 30,000 บาทแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขแดงที่ 6162/2535ของศาลแรงงานกลางนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเดิมโจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินเปอร์เซ็นต์จากการขายสินค้า ค่าเสียหายและค่าชดเชยวันที่ 3 กันยายน 2535 จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ต่อมาวันที่ 19 ตุลาคม 2535 โจทก์ขาดนัดพิจารณาศาลแรงงานกลางสั่งจำหน่ายคดีทั้งหมดออกเสียจากสารบบความตามคดีหมายเลขแดงที่ 6162/2535 ของศาลแรงงานกลาง ในวันเดียวกันนั้นโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้เข้ามาใหม่ในข้อหาเดียวกับฟ้องเดิมวันที่ 3 พฤศจิกายน 2535 จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งอ้างว่า การที่ศาลแรงงานกลางสั่งจำหน่ายฟ้องแย้งของจำเลยด้วยเป็นการไม่ชอบศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ด้วยเหตุผลว่า แม้อุทธรณ์ของจำเลยจะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีที่ควรจะรับไว้วินิจฉัย วันที่ 13 พฤศจิกายน 2535จำเลยได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวและส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเห็นว่า ศาลแรงงานกลางได้สั่งจำหน่ายคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ด้วยเหตุที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา คดีตามฟ้องเดิมของโจทก์จึงไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอีกต่อไป โจทก์ย่อมยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันเป็นคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลางในวันเดียวกันหลังจากศาลแรงงานกลางสั่งจำหน่ายคดีแล้วได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) แต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลแรงงานกลางในวันต่อมานั้น เป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่จำหน่ายคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งเป็นคดีคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมของโจทก์แต่อย่างใด การยื่นอุทธรณ์และคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ถือว่าคดีตามฟ้องเดิมของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาอันจะเป็นเหตุให้ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนดังที่จำเลยอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามปรากฏว่าอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนของฟ้องแย้งนั้น ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา จึงทำให้ฟ้องแย้งของจำเลยในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามที่จะรับไว้พิจารณาปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142, 247 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ดังนี้ อุทธรณ์ของจำเลยในส่วนของฟ้องแย้งจึงไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณาด้วยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งและอุทธรณ์ในส่วนของฟ้องแย้งคดีนี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share