คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 291/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลและใช้ประโยชน์ของกรมตำรวจ แต่กรมตำรวจมิได้มีการทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวไม่มีประกาศในที่ดินดังกล่าวเพื่อให้ราษฎรทราบโดยเปิดเผยว่าเป็นที่ส่วนของทางราชการ จำเลยเข้าใจว่าไม่ใช่ที่สงวนหวงห้ามจึงได้ซื้อและเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์มาตลอดก็ไม่มีเจ้าพนักงานผู้ใดทักท้วงหวงห้าม นอกจากจำเลยแล้วยังมีราษฎรอื่นอีกหลายรายยึดถือครอบครองเช่นกัน เมื่อมีการห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่เกิดเหตุ จำเลยก็ไม่ยอมพฤติการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้จำเลยหลงเข้าใจโดยสุจริตว่าที่เกิดเหตุเป็นของจำเลยการกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาที่จะเข้าถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดอาญาฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินราชพัสดุ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลใช้ประโยชน์ของกรมตำรวจและปักหลักแสดงอาณาเขตยึดถือครอบครองไว้อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของกระทรวงการคลังและกรมตำรวจโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,362, 365 ที่แก้ไขแล้ว ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิและให้จำเลย ลูกจ้าง ผู้แทนคนงานและบริวารจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยมีเจตนาบุกรุกที่เกิดเหตุหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์และจำเลยว่าหลังจากกระทรวงการคลังซื้อที่เกิดเหตุรวมทั้งที่แปลงอื่นรวม 29 แปลงมาเพื่อใช้ในราชการของกรมตำรวจแล้วมิได้มีการทำประโยชน์ไม่มีประกาศในที่เกิดเหตุให้ราษฎรทราบโดยเปิดเผยว่าเป็นที่สงวนของทางราชการ จนจำเลยเข้าใจว่าไม่ใช่ที่สงวนหวงห้าม จึงได้ซื้อและเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์มาแต่ปี 2526 จนถึงปี 2530ก็ยังไม่มีเจ้าพนักงานผู้ใดไปทักท้วงหวงห้าม จนกระทั่งเกิดเหตุกรมตำรวจมอบให้พันตำรวจเอกอนันต์ไปตรวจสอบเพื่อหาที่ตั้งค่ายศรียานนท์ จึงได้ความว่าจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองเช่นเดียวกับราษฎรรายอื่นอีกหลายราย เมื่อไม่ให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่เกิดเหตุจำเลยก็ไม่ยอม พฤติการณ์ต่าง ๆ ย่อมทำให้จำเลยหลงเข้าใจโดยสุจริตคิดว่าที่เกิดเหตุเป็นของจำเลยโดยจำเลยไม่ทราบว่าเป็นที่ราชพัสดุมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาที่จะเข้าถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดอาญาฐานบุกรุก ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยขาดเจตนากระทำผิดทางอาญาและพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นจึงชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share