คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3290/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทในฐานะเป็นบุตรของจำเลยและ ส. ย่อมถือว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะที่เป็นบริวารของจำเลยและ ส. เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากบ้านพิพาทผู้ร้องจะอ้างว่ามีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ส. หาได้ไม่ เพราะสิทธิดังกล่าวยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ และเป็นแต่เพียงสิทธิที่จะได้รับมรดก ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลย

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีถึงที่สุด ให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากบ้านพิพาท โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า ในการบังคับคดีจำเลยยอมออกไปจากบ้านพิพาทแล้ว แต่บุตรของจำเลยทั้งสามคือนายวรรณพงษ์ เพ็งพานิช นางสาววรรณพร เพ็งพานิชและนายสิทธิกร เพ็งพานิช ซึ่งเป็นบริวารของจำเลย ยังไม่ยอมออกไปจากบ้านพิพาทเป็นการจงใจขัดขืนคำบังคับของศาล ขอให้ออกหมายจับบุคคลทั้งสามมาเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไปนายวรรณพงษ์ นางสาววรรณพร และนายสิทธิกรยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลชั้นต้นว่า บ้านพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางสุคนธ์ เพ็งพานิชผู้ร้องทั้งสาม อยู่ในบ้านพิพาทในฐานะเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนางสุคนธ์ผู้ร้องทั้งสามได้ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกให้แบ่งทรัพย์มรดกของนางสุคนธ์ให้แก่ผู้ร้องทั้งสามซึ่งต่างได้เรียกโจทก์ให้เข้ามาเป็นจำเลยร่วม คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้ร้องทั้งสามไม่ใช่เป็นบริวารของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ขับไล่ ขอให้ยกคำร้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นฟังคำแถลงของโจทก์และผู้ร้องทั้งสามแล้ว วินิจฉัยว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นบุตรของจำเลยอาศัยอยู่กับจำเลยที่บ้านพิพาทที่ผู้ร้องทั้งสามอ้างว่ามีสิทธิรับมรดกของนางสุคนธ์ ก็ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าผู้ร้องทั้งสามจะได้รับมรดกบ้านพิพาทผู้ร้องทั้งสามเป็นบริวารของจำเลยมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสามออกไปจากบ้านพิพาทภายใน 1 เดือน มิฉะนั้นให้ออกหมายจับมาเพื่อบังคับตามคำพิพากษา ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ให้ขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์นั้น มีผลให้ใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้เท่านั้น ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นบุตรของจำเลยและนางสุคนธ์ เพ็งพานิชเดิมผู้ร้องทั้งสามอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทในฐานะเป็นบุตรของจำเลยและนางสุคนธ์มาก่อน ย่อมถือว่าผู้ร้องทั้งสามได้เข้าอยู่ในบ้านพิพาท ในฐานะที่เป็นบริวารของจำเลยและนางสุคนธ์ที่ผู้ร้องทั้งสามยืนยันอ้างว่า บ้านพิพาทเป็นทรัพย์มรดกนางสุคนธ์ผู้ร้องทั้งสามอยู่ในบ้านพิพาทในฐานะทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนางสุคนธ์ ผู้ร้องทั้งสามได้ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกให้แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ร้องทั้งสามซึ่งคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์นั้น เป็นการอ้างสิทธิดังกล่าวภายหลังจากที่นางสุคนธ์ถึงแก่ความตายแล้ว ว่าผู้ร้องทั้งสามมีส่วนเป็นเจ้าของบ้านพิพาทในฐานะเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกนางสุคนธ์ผู้ตายเท่านั้น ซึ่งสิทธิดังกล่าวก็ยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่เนื่องจากผู้ร้องทั้งสามฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกเพื่อขอแบ่งมรดกนางสุคนธ์ผู้ตาย ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสามมีสิทธิในบ้านพิพาทอันจะถือว่าผู้ร้องทั้งสามมิใช่บริวารของจำเลยที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้อง ของผู้ร้องทั้งสามแล้ววินิจฉัยว่าผู้ร้องทั้งสามเป็นบริวารของจำเลย พิพากษาให้ผู้ร้องทั้งสามออกไปจากบ้านพิพาทชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share