แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มิได้ครอบครองที่ดินพิพาทในขณะฟ้องคดีนี้ตามที่บรรยายมาในฟ้อง การที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ออกจากที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดิน พิพาทมาพร้อมกับฟ้องคดีอาญา ถือได้ว่าเป็นการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง เมื่อปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนดังกล่าวว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี นับแต่วันถูกแย่งการครอบครอง โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องแม้จำเลยจะยังมิได้ให้การต่อสู้คดี
ปัญหาเรื่องสิทธิฟ้องร้องของโจทก์เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘,๓๖๒, ๒๖๕, ๘๓ ห้ามมิให้จำเลยทั้งห้าและบริวารเข้าไปกระทำการใด ๆอันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรื้อถอนเสาไม้รั้วลวดหนาม และต้นมะพร้าว ออกจากที่ดินของโจทก์หากจำเลยทั้งห้าไม่รื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดออกค่าใช้จ่าย
ก่อนศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เฉพาะความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะในส่วนคดีแพ่งเท่านั้น คงมีปัญหาในชั้นฎีกาเฉพาะคดีแพ่งในประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยทั้งห้าได้เข้าไปบุกรุกแย่งการครอบครองที่พิพาทดังกล่าววันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๖ ต่อมาโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ได้ออกไปจากที่ดินพิพาท แต่เมื่อโจทก์เข้าไปครอบครองดูแลที่ดินที่พิพาทและปลูกขนำ ขนำของโจทก์ก็ถูกถอนรื้อและเผา เมื่อโจทก์ปลูกขนำขึ้นใหม่ในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๐ ก็ปรากฏจากสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมาย จ.๘ ว่าจำเลยทั้งห้านำเจ้าพนักงานตำรวจไปรื้อขนำของโจทก์ออกแล้วนำไม้ไปเก็บไว้ที่สถานีตำรวจโจทก์ก็ไปแจ้งว่าโรงเรือนที่ถูกรื้อเป็นของตนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งห้ายังคงครอบครองที่พิพาทอยู่ตลอดมานับตั้งแต่เข้าไปแย่งการครอบครองที่พิพาทในเดือน ธันวาคม ๒๕๒๖ จนกระทั่งถึงปัจจุบันและขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปครอบครองยิ่งกว่านั้นจำเลยทั้งห้ายังปลูกขนำในที่พิพาทด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์มิได้ครอบครองที่พิพาทในขณะที่ฟ้องคดีนี้ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องการที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ออกจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยทั้งห้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท จึงถือได้ว่าเป็นการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องภายใน ๑ ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ วรรคสอง ดังนั้น เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๓๑ ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า๑ ปี นับแต่วันถูกแย่งการครอบครองโจทก์จึงหมดสิทธิฟ้อง แม้จำเลยจะยังมิได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดี และปัญหาเรื่องสิทธิฟ้องร้องของโจทก์เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ สำหรับเรื่องที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และประทับฟ้องในข้อหาบุกรุก ศาลต้องรับฟ้องในส่วนแพ่งด้วยนั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เพียงว่าคดีโจทก์มีมูลในความผิดอาญาฐานบุกรุกเท่านั้นไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาท เป็นของโจทก์ ข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลหาจำต้องรับฟังไม่
พิพากษายืน