คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขายฝากบ้านพิพาทไว้แก่โจทก์แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนดระยะเวลาที่ตกลง กันไว้ แต่ เมื่อบ้านพิพาทถูก เพลิงไหม้หมดไปแล้วจึงไม่มีบ้านที่จะให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวารออกไปตาม ที่โจทก์ขอได้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากบ้านพิพาทซึ่ง ปลูกอยู่ในที่ดินของ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้แก่โจทก์ แต่ตาม คำฟ้องมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้ สิทธิการเช่า ที่ดินดังกล่าว การที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยได้ โอนสิทธิการเช่า ที่ดินซึ่ง บ้านพิพาทปลูกอยู่ให้แก่บุตรจำเลยอันเป็นการกระทำโดย ไม่สุจริตเพื่อหลีกเลี่ยงการครอบครองของโจทก์นั้น เป็นการฎีกานอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยและบริวารครอบครองอยู่อาศัยตลอดมาจนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาแล้วจำเลยไม่ไถ่คืน ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านของโจทก์
จำเลยให้การว่า บ้านตามสัญญาขายฝากได้ถูกเพลิงไหม้ทั้งหลังต้นเพลิงเกิดจากบ้านข้างเคียง การสูญเสียจึงตกเป็นภัยแก่โจทก์ปัจจุบันสิทธิการเช่าที่ดินเป็นของผู้อื่นจำเลยมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 2205/36 ถนนเจริญนคร แขวงบางลำภูล่างเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยส่งมอบการครอบครองบ้านให้กับโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไปกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความอีก 500 บาทแทนโจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความรวม1,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ขายฝากบ้านพิพาทไว้แก่โจทก์แล้วไม่ไถ่ถอนคืนภายในกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยหมดสิทธิที่จะไถ่ถอนคืนบ้านพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ได้ถูกเพลิงไหม้จริง ตามสภาพของบ้านพิพาทที่ถูกเพลิงไหม้ดังกล่าวย่อมไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ต่อไปและไม่อาจที่จะซ่อมแซมเพื่อเข้าอยู่อาศัยได้นอกจากจะรื้อซากทิ้งแล้วปลูกสร้างบ้านอื่นใหม่ทั้งหลัง ถือได้ว่าบ้านพิพาทถูกเพลิงไหม้หมดไปแล้ว จึงไม่มีบ้านที่จะให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวารออกไปตามที่โจทก์ขอได้ส่วนที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่าจำเลยได้โอนสิทธิการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งบ้านพิพาทปลูกอยู่ให้แก่นายศักดา รักประดิษฐ์ บุตรของจำเลยหลังจากบ้านพิพาทถูกเพลิงไหม้แล้ว อันเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพื่อหลักเลี่ยงการครอบครองของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะให้การต่อสู้คดีไว้ด้วยว่าปัจจุบันสิทธิการเช่าที่ดินเป็นของผู้อื่นไปแล้วก็ตามแต่ตามคำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าตนได้สิทธิการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ประการใด กรณีเป็นการนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่เป็นประเด็นในคดีนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน จำเลยไม่ยื่นคำแก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share