คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3289/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามสัญญาจ้างต่อศาลแพ่งโดยระบุในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร ศาลแพ่งสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้แล้ว แต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองไม่ได้ เพราะจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดสมุทรสาคร โจทก์จึงแก้ฟ้องเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองใหม่ ศาลแพ่งอนุญาตและในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฟ้องจำเลยทั้งสองที่ศาลแพ่ง ศาลแพ่งอนุญาต เมื่อศาลแพ่งมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งและจำเลยมีภูมิลำเนานอกเขตศาลแพ่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4) ได้ด้วยและศาลแพ่งอนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งได้ตามคำร้องขอของโจทก์แล้ว แม้คำร้องขอของโจทก์จะยื่นเข้ามาภายหลังจากยื่นคำฟ้องแล้วก็ตามย่อมแสดงว่าศาลแพ่งใช้ดุลพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ศาลแพ่งมีอำนาจพิจารณาคดีต่อไปได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ทำการนำสินค้าของจำเลยเข้ามาและส่งออกไปนอกประเทศหลายครั้งเสียค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงิน 59,891 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีหลายประการและให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งเพราะจำเลยทั้งสองมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งแต่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสมุทรสาครทั้งมูลคดีไม่ได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแพ่งด้วย การขออนุญาตฟ้องคดีจะต้องยื่นคำร้องมาพร้อมกับคำฟ้องแต่โจทก์ยื่นคำร้องภายหลังจากได้ยื่นคำฟ้องแล้วเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 62,268.33บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 59,891 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่าที่ศาลแพ่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณานั้นชอบหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งโดยระบุในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่แขวงจักรวรรดิ์เขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งศาลแพ่งสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้แล้วต่อมาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองในเขตอำนาจของศาลแพ่งไม่ได้เพราะปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่อำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทรสาครโจทก์จึงขอแก้ฟ้องโดยขอแก้ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองใหม่ศาลแพ่งอนุญาตและในวันเดียวกันนั้นโจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฟ้องจำเลยทั้งสองที่ศาลแพ่ง ศาลแพ่งอนุญาตตามคำร้องของโจทก์พิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4 (2) บัญญัติถึงการยื่นคำฟ้องไว้ว่าให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้นแต่ถ้าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นให้โจทก์ยื่นคำร้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้น ๆ จะเป็นการสะดวกศาลจะใช้ดูลพินิจอนุญาตให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามที่ขอนั้นก็ได้ จะเห็กนได้ว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4นี้เป็นบทบัญญติที่ใช้แก่ศาลทั่วไปแต่สำหรับศาลแพ่งแล้วยังมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตอำนาจศาลแพ่งและจำเลยมีภูมิลำเนานอกเขตศาลแพ่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา14 (4) อีกด้วยสำหรับคดีนี้เมื่อศาลแพ่งอนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งได้ตามคำร้องขอของโจทก์แล้วแม้คำร้องขอของโจทก์จะยื่นเข้ามาภายหลังจากยื่นคำฟ้องแล้วก็ตามย่อมแสดงว่าศาลแพ่งใช้ดุลพนิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 14 (4) แล้วไม่ว่ามูลคดีจะเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลใด ศาลแพ่งก็ใช้ดุลพินิจอนุญาตได้กรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่ามูลกรณีเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแพ่งหรือไม่ดังที่จำเลยทั้งสองยดขึ้นเป็นข้อฎีกาอนึ่งที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าตามคำร้องขออนุญาตฟ้องของโจทก์เห็นได้ว่าโจทก์มีความมุ่งหมายขออนุญาตฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4 (2) นั้นเห็นว่าตามคำร้องของโจทก์มิได้ระบุว่าโจทก์ขออนุญาตฟ้องตามมาตรา 4 (2) แต่อย่างใดแม้ข้อความในคำร้องของโจทก์บางตอนจะเข้าหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 (2) บ้างก็ตามศาลแพ่งก็มีอำนาจรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาได้โดยอาศัยอำนาจตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 14 (4) ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share