แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ตายถืออาวุธปืนเป็นฝ่ายก่อเหตุเข้ามาต่อว่าและตบตีภริยาจำเลย เมื่อจำเลยถือปืนวิ่งออกมาเห็นภริยาจำเลยมีเลือดเปื้อนเต็มตัว จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้ตายจะยิงภริยาจำเลย อันเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันชีวิตภริยาจำเลยได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายติดต่อกันถึง6 นัด ในขณะที่อาวุธปืนในมือของผู้ตายหล่นลงไปที่พื้นแล้ว หากจำเลยยิงผู้ตายเพียงนัดเดียวก็น่าจะหยุดยั้งผู้ตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์มีเหตุผลสอดคล้องต้องกัน และได้ให้การหลังเกิดเหตุไม่นาน ไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เชื่อว่าได้ให้การไปตามความสัตย์จริงตามที่ตนให้รู้เห็นมาโดยไม่มีมูลเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด การที่ประจักษ์พยานโจทก์มาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลปฏิเสธว่าไม่เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุโดยไม่ได้ให้เหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเบิกความในชั้นพิจารณาไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน เชื่อว่าเพื่อช่วยเหลือให้จำเลยพ้นผิดคำให้การพยานชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาล ศาลเชื่อคำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์เป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดพฤติการณ์แห่งคดีพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนา ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 และริบของกลางจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 15 ปี ริบของกลางจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2527 เวลาประมาณ 18 นาฬิกานายเจริญศักดิ์ หรือฉาย เฉยดิษฐ์ ผู้ตายถูกยิงด้วยอาวุธปืนถึงแก่ความตายมีบาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.3 คดีมีปัญหาว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ชั้นพิจารณาโจทก์มีนางสาวดาวเรือง พุ่มแก้ว นายสมบูรณ์ ตังศรีนายพิสูจน์ ศรีสวัสดิ์ และเด็กชายสุภาพ เฉยดิษฐ์ ซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความต่อศาล แต่นางสาวดาวเรืองและนายสมบูรณ์ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวเบิกความแตกต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนกล่าวคือ นางสาวดาวเรืองเบิกความว่าเห็นผู้ตายเดินเข้าไปที่หลังร้านจำเลย แล้วได้ยินเสียงผู้ตายโต้เถียงกันแต่ไม่เห็นตัว ประมาณ 5 นาทีก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นพยานจึงรีบกลับบ้าน แต่ในชั้นสอบสวนนางสาวดาวเรืองได้ให้การยืนยันต่อร้อยตำรวจเอกประชา ชุมพล พนักงานสอบสวนคดีนี้ว่า เห็นนางบุญช่วยภริยาจำเลยกอดปล้ำทำร้ายอยู่กับผู้ตาย แล้วจำเลยเข้ามาทางประตูหลังร้านใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้ตาย 4-5 นัดส่วนนายสมบูรณ์ ตังศรี ประจักษ์พยานอีกคนหนึ่งเบิกความในชั้นพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุพยานจอดรถจักรยานยนต์ที่ข้างร้านของจำเลยเห็นผู้ตายเดินเข้าไปในร้าน หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2-3นัด เมื่อเข้าไปดูในร้านค้าจึงเห็นผู้ตายถูกยิงพยานไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิงผู้ตาย ระหว่างทางที่นำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลขณะนั้นผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตายก็ไม่ได้ยินผู้ตายพูดว่าใครเป็นคนยิงแต่ในชั้นสอบสวนนายสมบูรณ์ได้ให้การต่อร้อยเอกประชาพนักงานสอบสวนว่าตอนเกิดเหตุเห็นนางบุญช่วยภริยาจำเลยกับผู้ตายกอดปล้ำทำร้ายร่างกายกัน นางบุญช่วยใช้มีดฟันผู้ตาย 2-3 ที และจำเลยใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงผู้ตาย 5-6 นัด ปรากฏตามบันทึกคำให้การลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2527 นอกจากนี้นายสมบูรณ์ยังให้การเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์ตอนที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายปรากฏตามบันทึกคำให้การเพิ่มเติมลงวันที่ 23กรกฎาคม 2527 ดังนั้น เมื่อได้พิเคราะห์ประกอบกับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.5 ที่ร้อยตำรวจเอกเกษม สายนาคพนักงานสอบสวนคนแรกได้ทำขึ้นในคืนเกิดเหตุซึ่งแสดงผลการสืบสวนในเบื้องต้นได้ความว่า ผู้ตายเมาสุราไปต่อว่านางบุญช่วยภริยาของจำเลย เรื่องที่จำเลยตบตีบุตรของผู้ตาย แล้วผู้ตายได้ตบตีทำร้ายนางบุญช่วย นางบุญช่วยเรียกให้จำเลยช่วยจำเลยจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 6 นัด ถึงแก่ความตาย และร้อยตำรวจเอกเกษมยังได้ทำแผนที่สังเขปแสดงจุดที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและจุดที่ประจักษ์พยานโจทก์คือนางสาวดาวเรือง พุ่มแก้ว และนายสมบูรณ์ดังศรี อยู่ในที่เกิดเหตุ ซึ่งจุดที่พยานดังกล่าวยืนอยู่ในวิสัยที่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ การที่นายสมบูรณ์และนางสาวดาวเรือง มาให้การเพิ่มเติมในชั้นสอบสวนเป็นครั้งที่ 2เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2528 ปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในร้านเกิดเหตุ เพราะขณะเกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ในห้องเกิดเหตุนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองมาให้การปฏิเสธกลับคำบ่ายเบี่ยงไปอย่างขัดต่อเหตุผล ทั้งเป็นระยะเวลาเนิ่นนานภายหลังเกิดเหตุถึงปีเศษ น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองคงถูกชักจูงให้ต้องมาให้การกลับคำไปจากข้อเท็จจริงเดิมที่ได้เคยให้การไว้ ศาลฎีกาเห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของนายสมบูรณ์และนางสาวดาวเรืองประจักษ์พยานโจทก์มีเหตุผลสอดคล้องต้องกันและได้ให้การภายหลังเกิดเหตุไม่นานจึงไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสองเป็นญาติเกี่ยวข้องกับทางฝ่ายจำเลยหรือผู้ตาย เชื่อได้ว่าได้ให้การไปตามความสัตย์จริงตามที่ตนได้รู้เห็นมา โดยไม่มีมูลเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจึงได้บันทึกและให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานการที่ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองมาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลปฏิเสธว่าไม่เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุ โดยพยานไม่ได้ให้เหตุผลว่า เพราะเหตุใดข้อเท็จจริงที่ตนเบิกความในชั้นพิจารณาจึงไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้กับชั้นสอบสวน เห็นได้ชัดว่าเพื่อช่วยเหลือให้จำเลยพ้นผิด คำให้การพยานชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลประการใดศาลฎีกาเชื่อว่าคำให้การชั้นสอบสวนของนายสมบูรณ์และนางสาวดาวเรืองเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวในชั้นพิจารณานอกจากนี้ในชั้นสอบสวนนายพิสูจน์ศรีสวัสดิ์ บุตรของจำเลยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุไม่นานว่าเข้าใจว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตายแต่มาในชั้นพิจารณานายพิสูจน์เบิกความว่านางบุญช่วยมารดาเป็นผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เห็นได้ชัดว่าพยานโจทก์ปากนี้เบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยซึ่งเป็นบิดา เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดีเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง คดีฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตายจริงพยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ แต่ตามข้อเท็จจริงดังที่ได้วินิจฉัยมาปรากฏว่า ผู้ตายเมาสุราพร้อมกับพกพาอาวุธปืนมาต่อว่าและตบตีทำร้ายนางบุญช่วยซึ่งเป็นภริยาของจำเลย ซึ่งเหตุการณ์ในตอนนี้ก็ได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของเด็กชายสุภาพ เฉยดิษฐ์ ซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายว่า ผู้ตายถืออาวุธปืนเข้าไปตบตีนางบุญช่วย ผู้ตายจ้องปืนไปทางนางบุญช่วยขณะที่กอดปล้ำกันอยู่นั้นปืนของผู้ตายได้ลั่นขึ้น 1 นัดนางบุญช่วยได้ร้องเรียกให้จำเลยช่วย จำเลยถือปืนวิ่งออกมาและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 4 นัด ติดต่อกัน ในที่เกิดเหตุพบอาวุธปืนของผู้ตายตกอยู่ ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุเข้ามาด่าว่าและตบตีภริยาจำเลย เมื่อจำเลยถือปืนวิ่งออกมาเห็นภริยาจำเลยมีเลือดเปื้อนเต็มตัว จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้ตายจะยิงภริยาของตนอันเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันชีวิตภริยาจำเลยได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายติดต่อกันถึง 6 นัด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงยังคงมีความผิดตามกฎหมายอยู่ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 บัญญัติให้ศาลลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 69 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี และให้ริบของกลาง