คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3285/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า อ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและรับฟังว่าสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครรับจดทะเบียนจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไว้โดยมีการมอบอำนาจไม่ขาดสาย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และอนุญาตให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,200,102.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 1,383,324.77 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 107502 ตำบลคลองเตย (ช่องนนทรีย์) อำเภอพระโขนง จังหวัดกรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเพราะเหตุขาดนัด ศาลเห็นควรให้สืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไปฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,383,324.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเอ็มอาร์อาร์ บวกร้อยละ 3.5 ต่อปี ตามประกาศโจทก์และที่ประกาศต่อไป นับแต่วันที่ 14 มกราคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยผิดนัดสูงสุดตามประกาศโจทก์ โดยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 719,888.28 บาท และอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องไปต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 107502 ตำบลคลองเตย (ช่องนนทรีย์) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วนกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ขณะที่ทำคำขอสินเชื่อสัญญากู้เงิน และสัญญาค้ำประกันเงินกู้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนจันทร์ สะพาน 5 ยังไม่ได้จดทะเบียนสาขาไม่อาจมีการมอบอำนาจจากโจทก์ให้บุคคลใดเป็นผู้จัดการสาขา นิติกรรมที่ทำที่สาขาถนนจันทร์ สะพาน 5 ไม่อาจใช้บังคับได้ สัญญากู้เงิน และสัญญาค้ำประกันเงินกู้จึงตกเป็นโมฆะนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 มิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่เป็นการยกเหตุแห่งการต่อสู้ขึ้นใหม่จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้น เห็นว่า เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และอนุญาตให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อไปว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า ขณะทำหนังสือมอบอำนาจให้บอกกล่าวเลิกสัญญา นายอมร จันทรสมบูรณ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ต้องฟังว่าหนังสือมอบอำนาจให้บอกกล่าวเลิกสัญญาไม่ชอบ นายชนินทร์ เชื้อศรีตระกูล ไม่มีอำนาจบอกกล่าวเลิกสัญญา ถือว่ายังไม่มีการบอกกล่าวเลิกสัญญาโดยชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2536 ผู้มอบอำนาจเป็นใคร มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์หรือไม่ การรับจดทะเบียนจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ของสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครมีการมอบอำนาจโดยไม่ขาดสายจริงหรือไม่ โจทก์มิได้นำสืบให้ชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยถึงเรื่องการมอบอำนาจให้ไปทำสัญญาจำนองตามที่กล่าวอ้างในฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า นายอมรเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อผูกพันแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง และรับฟังว่าสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครรับจดทะเบียนจำนองที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไว้โดยมีการมอบอำนาจไม่ขาดสาย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และอนุญาตให้จำเลยที่ 1 อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ เช่นกัน”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป

Share