แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ ล. ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับการเป็นโรคตับต่อจำเลยที่ 1 ในเวลาทำสัญญาประกันชีวิต ซึ่งหากจำเลยที่ 1รู้ว่า ล. เป็นโรคตับ อันเป็นโรคที่ร้ายแรง จำเลยที่ 1จะบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิต สัญญาจึงเป็นโมฆียะ เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบเหตุแห่งการบอกล้างวันที่ 13 กันยายน 2529และจำเลยที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 3 ตุลาคม 2529 บอกล้างต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มี ความผูกพันตามสัญญาที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2528นายลิ่วกิจ แซ่ลิ่วสามีโจทก์เอาประกันชีวิตไว้กับจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 นายลิ่วกิจแจ้งต่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วว่าเคยเป็นโรคดีซ่าน มาก่อนต่อมาวันที่ 21 สิงหาคม 2529 นายลิ่วกิจถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็ง ในตับ โดยที่นายลิ่วกิจไม่ทราบมาก่อน จำเลยทั้งสามรับกรมธรรม์ของนายลิ่วกิจจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์อ้างว่าจะเบิกเงินตามกรมธรรม์ให้ แต่จำเลยที่ 1 กลับมีหนังสือลงวันที่ 3 ตุลาคม 2529 บอกล้างสัญญาประกันชีวิตของนายลิ่วกิจโดยอ้างว่านายลิ่วกิจปกปิดความจริง ซึ่งการบอกล้างของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินที่เอาประกันจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 รับประกันชีวิตจากนายลิ่วกิจโดยมีโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ แต่ขณะทำสัญญานายลิ่วกิจรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ว่าเคยป่วยเป็นโรคตับ แข็ง หากจำเลยที่ 1 รู้ข้อความจริงดังกล่าวจะบอกปัดไม่รับประกันชีวิต จำเลยที่ 1 ทราบว่านายลิ่วกิจเจ็บป่วยและถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2529 จำเลยที่ 1มีหนังสือบอกล้างเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2529 สัญญาประกันชีวิตจึงไม่มีผลผูกพัน จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีหน้าที่หาผู้เอาประกันชีวิตและรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อการเอาประกันชีวิตให้แก่จำเลยที่ 1ไม่ใช่ตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 หากนายลิ่วกิจบอกเล่าถึงการที่เคยเป็นโรคดีซ่าน มาก่อน และได้รับการรักษาจากแพทย์ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบหรือไม่ก็ตาม จะถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบด้วยไม่ได้เพราะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการพิจารณารับประกันชีวิต ซึ่งเป็นอำนาจของจำเลยที่ 1แต่เพียงผู้เดียว ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายลิ่วกิจรู้แล้วว่าตนเองป่วยเป็นโรคตับ ก่อนที่จะทำสัญญาประกันชีวิตแต่กลับบอกจำเลยที่ 2ที 3 เพียงว่าเป็นโรคดีซ่าน และหายแล้ว ทั้งที่ขณะนั้นก็รับการรักษาเกี่ยวกับโรคตับ ไม่ใช่โรคดีซ่าน อยู่ กรณีจึงเป็นการที่นายลิ่วกิจปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับการเป็นโรคตับ ต่อจำเลยที่ 1 ในเวลาทำสัญญาประกันชีวิต ซึ่งหากจำเลยที่ 2 รู้ว่านายลิ่วกิจเป็นโรคตับ อันเป็นโรคที่ร้ายแรง จำเลยที่ 1 จะบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิต สัญญาตามเอกสารหมาย ล.2 จึงเป็นโมฆียะเมื่อจำเลยที่ 1 ทราบเหตุแห่งการบอกล้างวันที่ 13 กันยายน 2529และจำเลยที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 3 ตุลาคม 2529 บอกล้างต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์โดยโจทก์รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่6 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผูกพันตามสัญญาที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ในการทำสัญญาประกันชีวิตนั้นเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายลิ่วกิจปกปิดไม่เปิดเผยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบว่าตนมีประวัติความเจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคตับ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1หรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน