คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3283/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ คำให้การของจำเลยประกอบคำแถลงของจำเลยในวันชี้สองสถานมีข้อความว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องโดยสิ้นเชิง เพราะสัญญาที่โจทก์ทำขึ้นเป็นการฉ้อฉล โดยโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้ และจำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์เช่นนี้ การใช้อุบายหลอกลวงของโจทก์ก็มีความหมายเช่นเดียวกับการฉ้อฉลที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำขึ้นนั่นเอง ไม่อาจทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์กระทำการอย่างไรบ้าง อันจะแสดงว่าเป็นการฉ้อฉลหรือใช้อุบายหลอกลวงจำเลย และเป็นเหตุให้จำเลยไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้ จึงเป็นคำให้การปฏิเสธที่มิได้แสดงเหตุโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสองจำเลยจึงไม่มีประเด็นจะนำสืบตามคำให้การ
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ว่าเหตุใดจึงจะไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้นั้น แต่เมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ คดีก็ไม่จำเป็นต้องทำการสืบพยานโจทก์ต่อไป ศาลย่อมมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท สัญญาชำระคืนภายใน ๓ งวด ครั้นครบกำหนดเวลาชำระทั้งสามงวดจำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยขอปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์เพราะสัญญาที่โจทก์ทำขึ้นเป็นการฉ้อฉลและจำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์ตามสัญญารายละเอียดจะได้นำสืบต่อไปขอให้พิพากษายกฟ้อง ในวันนัดชี้สองสถานจำเลยแถลงว่าสัญญาที่โจทก์ทำขึ้นเป็นการฉ้อฉลหมายความว่าโจทก์ได้ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้ดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโดยวินิจฉัยว่า คำให้การและคำแถลงของจำเลยเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ จึงไม่มีประเด็นจะนำสืบ เมื่อจำเลยรับว่าจำเลยได้ลงชื่อในสัญญากู้จริง และสัญญากู้มีข้อความปรากฏชัดว่าจำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป แสดงว่าจำเลยได้รับเงินที่ยืมไปแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๒๐,๖๕๖.๒๕ บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จากคำให้การของจำเลยตลอดจนคำแถลงของฝ่ายจำเลย กรณีเป็นเรื่องจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมิได้รับเงินตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องเลย และเหตุที่ไม่ได้รับเงินก็เป็นเพราะจำเลยถูกโจทก์หลอกลวงให้ลงชื่อในเอกสารนั้น เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์อย่างชัดแจ้ง โดยได้บรรยายถึงเหตุแห่งการปฏิเสธด้วย คำให้การของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ทั้งเป็นการต่อสู้ว่านิติกรรมสัญญายืมที่ระบุในหลักฐานการกู้ท้ายฟ้องยังไม่สมบูรณ์จำเลยจึงมีสิทธิสืบพยานตามข้อต่อสู้ได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยประกอบกับคำแถลงของจำเลยในวันชี้สองสถานรวมกันแล้วมีข้อความว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิง เพราะสัญญาที่โจทก์ทำขึ้นเป็นการฉ้อฉล ซึ่งหมายความว่าโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้ และจำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์ การใช้อุบายหลอกลวงของโจทก์ก็มีความหมายเช่นเดียวกับการฉ้อฉลที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำขึ้นนั่นเอง ไม่อาจทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์กระทำการอย่างไรบ้างอันจะแสดงว่าเป็นการฉ้อฉลหรือใช้อุบายหลอกลวงจำเลย และเป็นเหตุให้จำเลยไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้นั้น เหตุแห่งคำให้การปฏิเสธของจำเลยมิได้แสดงโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสองจำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบตามคำให้การ และเมื่อจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่ามิได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องให้โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง จำเลยมีภาระการพิสูจน์ว่าเหตุใดจำเลยจึงจะไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องเมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบพยาน คดีก็ไม่จำเป็นต้องทำการสืบพยานโจทก์ต่อไป
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share