แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การสืบว่าสามีโจทก์ผู้ให้กู้ใส่จำนวนเงินในสัญญากู้ผิดจากที่ขอกู้ เป็นการสืบให้เห็นว่าจำนวนที่เขียนลงในสัญญากู้ผิดจากที่กู้จริง ถือว่าเท่ากับสืบว่าสามีโจทก์ปลอมจำนวนเงินกู้อันเป็นเรื่องสืบว่าเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ย่อมนำสืบได้ตามข้อยกเว้นของ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94
การนำสืบว่าผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 4 มิใช่ร้อยละ 1.25 ดังที่ปรากฎในเอกสาร เป็นการสืบให้เห็นว่าเรียกดอกเบี้ยผิดกฎหมายย่อมนำสืบได้
การนำสืบว่าได้มีการใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ ต้องมีหลักฐานการรับเงินเป็นหนังสือมาแสดง
ย่อยาว
คดีนี้โจทย์ฟ้องจำเลยสองสำนวน โดยที่โจทก์จำเลยเป็นคู่ความคนเดียวกัน พยายหลักฐานชุดเดียวกัน ศาลจึงรวมพิจารณา พิพากษาด้วยกัน
สำนวนแรกโจทย์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้อีก ๑๗,๒๐๐ บาท ที่ยังค้างจากจำนวนที่จำเลยทำหนังสือกู้ไป ๓๗,๒๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทที่ค้างอีก ๕,๐๓๒ บาท ๘๔ สตางค์
สำนวนหลัง โจทย์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้ ๕,๗๖๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาท ที่ค้างอีก ๘๖๑ บาท ๖๐ สตางค์
สำนวนแรกจำเลยให้การว่าได้กู้เงินโจทก์เพียง ๓๐,๐๐๐ บาท สามีโจทก์เขียนสัญญาจะใส่จำเลยจำนวนเงินลงเท่าใด จำเลยไม่ทราบ โจทก์เรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๔ บาทต่อเดือน จำเลยชำระดอกเบี้ยเป็นตัวเงินบ้าง ทองรูปพรรณบ้าง โจทก์ไม่ออกใบรับให้ ต่อมาโจทก์เร่งรัดให้ชำระต้นเงินกู้ จำเลยจึงโอนสวนยางใช้หนี้โจทก์ตีราคา ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ให้จำเลยโอนรถยนต์ตีใช้หนี้โจทก์อีก จำเลยก็ยอมโอนให้ ต่อมาจำเลยไปขอสัญญากู้คืนกับขอเงินที่เกินอยู่ โจทก์ว่าหนังสือกู้ไม่ต้องคืนฉีกเสียก็ได้ แล้วฉีกกระดาษคล้ายสัญญากู้ต่อนหน้าจำเลย ส่วนเงินที่เกินโจทก์บอกว่าเสียเป็นค่าใช้จ่ายในการโอนสวนยางหมด จำเลยเพิ่งรู้ว่า ถูกโจทก์หลอกลวงเมื่อถูกฟ้อง
สำนวนหลังจำเลยให้การว่าได้กู้เงินโจทก์เพียง ๓,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๔ บาทต่อเดือน สามีโจทก์เขียนสัญญาจะใส่จำนวนเงินลงเท่าใด จำเลยไม่ทราบ นอกจากนี้ต่อสู้เช่นเดียวกับคดีแรก
ศาลชั้นต้นฟังว่าเอกสารสัญญากู้ทั้งสองฉบับไม่ตรงกับความจริง จะรับฟังมาบังคับจำเลยไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานจำเลยไม่น่าเชื่อ และจำเลยจะนำสืบพยานบุคคลเพื่อแก้ไขหนังสือกู้ไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๙๔
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อทีโจทก์ฎีกาว่าจำเลยจะสืบพยานแก้ไขสัญญากู้ไม่ได้ ต้องห้ามโดย ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๙๔ นั้น แม้ ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๙๔ จะห้ามมิให้นำสืบเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารก็ดี แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ที่อนุญาตให้นำสืบว่าเอกสารนั้นปลอม หรือไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ฯลฯ การที่จำเลยนำสืบว่าสามีโจทก์ใส่จำนวนเงินเอาเองผิดไปจากที่จำเลยกู้นั้น เป็นการสืบให้เห็นว่าจำนวนเงินที่เขียนลงในสัญญากู้ผิดจากที่ขอกู้จริง เท่ากับสามีโจทก์ปลอมจำนวนเงินกู้ จำเลยจึงย่อมนำสืบได้ตามข้อยกเว้นของ ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๙๔ การที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยคิดเอาดอกเบี้ยร้อยละ ๔ บาท มิใช่ร้อยละ ๑.๒๕ บาทดังที่ปรากฎในเอกสารก็นำสืบได้ เพราะเป็นการสืบให้เห็นว่าโจทก์เรียกเอาดอกเบี้ยผิดกฎหมายแต่ฟัง ข้อเท็จจริงว่าไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะยอมให้สามีโจทก์เขียนลงในสัญญากู้โดยจำเลยไม่รู้และยอมลงลายมือชื่อโดยไม่มีใครอ่านให้ฟัง เมื่อจำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ตามเอกสารที่โจทย์ฟ้องโดยสมัครใจแล้ว จะนำสืบเถียงว่า ความจริงจำเลยได้รับเงินไปไม่ถึงจำนวนเท่าที่ปรากฎในเอกสารย่อมไม่ได้ เพราะเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์นอกจากเอาสวนยางตีใช้หนี้ จำเลยไม่มีใบรับมาแสดง เอกสารกู้ยืมก็ยังอยู่กับโจทก์ จึงเชื่อไม่ได้ว่าชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว
พิพากษากลับให้จำเลยชำระต้นเงินสำนวนแรก ๑๗,๒๐๐ บาท ดอกเบี้ยที่ค้าง ๕,๐๓๒.๘๔ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือนในต้นเงิน ๑๗,๒๐๐ บาท แต่วันฟ้องจนวกว่าชำระเสร็จ สำนวนหลัง ๕,๗๖๐ บาท ดอกเบี้ยที่ค้าง ๘๖๑.๖๐ บาทกับดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือนในต้นเงิน ๕,๗๖๐ บาท แต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้ใช้ค่าธรรมเนียม ๓ ศาลกับค่าทนาย ๓ ศาลรวม ๒,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ด้วย