คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกันมานานถึง 2 ปีเศษแล้วแต่ปรากฏว่าภรรยาและบุตรผู้ขายยังคงอยู่และทำกินในที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขายตลอดมา โดยผู้ซื้อมิได้เกี่ยวข้องทำอะไรในที่ดิน และยังปรากฏว่าบุตรเขยผู้ขายได้ปลูกเรือนอยู่ในที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขาย พฤติการณ์ต่างๆ ดังกล่าวเป็นเครื่องแสดงให้เห็นได้ว่าการทำสัญญาซื้อขายเป็นการแสดงเจตนาลวง มิใช่มีเจตนาซื้อขายต่อกันจริงจัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายสวัสดิ์ กลั่นหีด ถูกจำเลยที่ 1 ฆ่าตายพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกหาว่าฆ่าคนตายโดยเจตนาศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 207/96 ของศาลจังหวัดไชยา ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เรียกค่าเลี้ยงดู ด.ญ.สมโภชซึ่งเป็นบุตรของนายสวัสดิ์ผู้ตายศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เสียค่าเลี้ยงดูให้แก่ ด.ญ.สมโภช เป็นเงิน 20,000 บาทกับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 55/97 ของศาลจังหวัดไชยา คดีถึงที่สุดแล้วต่อมาเมื่อเดือนมกราคม 2498 โจทก์ดำเนินการเพื่อยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอยู่3 แปลงในตำบลป่าเว อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาโอนขายที่ดินทั้ง 3 แปลงให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องภรรยาเป็นเงิน4,000 บาท ซึ่งคู่กรณีไม่มีเจตนาซื้อขายกันจริง แต่เป็นการแสดงเจตนาลวงโจทก์สมยอมกันทำเป็นว่าซื้อขายแต่หาได้ซื้อขายกันจริงไม่ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ที่ดินของจำเลยที่ 1 ถูกยึดมาชำระหนี้โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นอีกอนึ่ง ราคาที่ระบุในสัญญาซื้อขายก็ถูกกว่าราคาจริงมากนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยเป็นโมฆะ ให้ถอนชื่อจำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นเจ้าของ และแสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของดังเดิม

จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่ได้สมยอมกับจำเลยที่ 2 ซื้อขายที่ดินดังโจทก์ฟ้องขายกันในราคาพอสมควรกับที่ดินและขายเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในการสู้คดีที่จำเลยที่ 1 ถูกหาว่าฆ่านายสวัสดิ์ตายทั้งเพื่อชำระหนี้ผู้อื่นซึ่งมีอยู่บ้างแล้วก่อนขายที่ดินและเพื่อเอาเงินใช้สอบเลี้ยงตัวและครอบครัวจำเลย

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินตามโจทก์ฟ้องกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอันสมควรราคา ไม่ได้สมยอมกัน อนึ่งในเวลาที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้โจทก์เกี่ยวกับที่ถูกพนักงานอัยการฟ้อง และเวลานั้นศาลก็ยังไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ฆ่านายสวัสดิ์ จำเลยที่ 2 ชอบที่จะซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 ได้ ทั้งจำเลยที่ 1 ก็แจ้งว่าประสงค์จะเอาเงินไปช่วยทุกข์ในคดีอาญาที่ถูกพนักงานอัยการฟ้องหาว่าฆ่านายสวัสดิ์ตาย เพื่อตอบแทนแก่ทนายความบ้าง ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นบ้าง

ชั้นพิจารณา จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา

ศาลจังหวัดไชยาพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าการซื้อขายที่ดินทั้ง 3 แปลงระหว่างจำเลยเป็นการแสดงเจตนาลวง พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยเสีย ให้ถือว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ดังเดิมให้จำเลยทั้งสองเสียค่าธรรมเนียม 2 ศาลกับค่าทนาย 400 บาทแทนโจทก์แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งที่พิจารณาคดีนี้ทำความเห็นแย้งว่าข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าการซื้อขายที่ดิน 3 แปลงระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นการแสดงเจตนาลวง ควรพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ควรเป็นพับ

จำเลยทั้ง 2 ฎีกา แต่จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาเกินกำหนดเวลาจึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลย ทำหนังสือสัญญาซื้อขายต่อกันเพื่อป้องกันมิให้ทรัพย์รายพิพาทถูกยึด มิใช่มีเจตนาซื้อขายต่อกันจริงจังเป็นแต่ทำหนังสือสัญญาซื้อขายไว้เพื่อลวงว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่พิพาทไปแล้ว

เมื่อคำนึงถึงราคาตามที่ปรากฏจากคำพยานฝ่ายโจทก์ประกอบกับสภาพของทรัพย์ที่ตีราคาซื้อขายกัน คือที่นาแปลงละ 1,000 บาทที่บ้านและบ้าน 2,000 บาท แปลงที่เป็นที่บ้านนั้นเป็นที่สวนและมีนาด้วยทั้งมีเรือนถาวรปลูกอยู่อีก1 หลัง ราคาที่ระบุซื้อขายน่าจะมิใช่ราคาแท้จริงที่ซื้อขายกันตามปกติ

ปรากฏว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินกันตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน2496 จนกระทั่งถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2498 นางจับภรรยาจำเลยที่ 1 และบุตรของจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่และทำกินในที่ดินรายพิพาทดังเดิมตลอดมา โดยจำเลยที่ 2 มิได้เกี่ยวข้องทำอะไรในที่ดินเลย และหลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว นายเขียวบุตรเขยจำเลยที่ 1 ยังได้ปลูกเรือนอยู่ในที่ดินรายพิพาทอีก เป็นการผิดวิสัยในเรื่องมีการซื้อขายกันแล้ว ส่อให้เห็นว่าการทำสัญญาซื้อขายเป็นการแสดงเจตนาลวง มิใช่เจตนาซื้อขายต่อกันจริงจัง จึงพิพากษายืนให้จำเลยที่ 2 เสียค่าทนายชั้นฎีกา 100 บาทแทนโจทก์

Share