คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3279/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สามีที่จดทะเบียนสมรสซ้อนเป็นผู้ทำการสมรสโดยไม่สุจริตจึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสซ้อนของตนเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1497 ภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ ศาลพิพากษาว่าการสมรสซ้อนของสามีเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497 บุตรนอกกฎหมายแม้บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมายแล้วก็ตามบุตรเช่นว่านี้ก็มีสิทธิแต่เพียงรับมรดก ของบิดากับมารดาของตนเมื่อบุคคลทั้งสองถึงแก่ความตาย แล้วเท่านั้น ฉะนั้น การที่บิดาจดทะเบียนสมรสซ้อนจึงไม่ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อสิทธิของบุตร ไม่อยู่ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสซ้อน ของบิดาเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497เช่นเดียวกัน

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของนายสุรชัย บุญหนุน และในการดำเนินคดีนี้ผู้ร้องได้รับความยินยอมจากนางชะอ้อน อุบลมณี มารดาโดยชอบด้วยกฎหมายนายสุรชัย บุญหนุน บิดาผู้ร้องกับนางพนารัตน์ บุญหนุน (อุดมสุข) ได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2531 ณ ที่ว่าการอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ต่อมานายสุรชัย บุญหนุน กับนางสาวจงจิตต์ เมธาประเสริฐศิลป์ ได้จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2539 ณ สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ซึ่งการสมรสระหว่างนายสุรชัย บุญหนุน กับนางสาวจงจิตต์ เมธาประเสริฐศิลป์ เป็นการสมรสที่เกิดขึ้นระหว่างที่นายสุรชัย บุญหนุน กับนางพนารัตน์ บุญหนุน เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นการสมรสระหว่างนายสุรชัย บุญหนุน กับนางสาวจงจิตต์ เมธาประเสริฐศิลป์ จึงตกเป็นโมฆะ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้สืบสันดานของนายสุรชัย บุญหนุน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้การสมรสระหว่างนายสุรชัย บุญหนุน กับนางสาวจงจิตต์ เมธาประเสริฐศิลป์ ตกเป็นโมฆะ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า นายสุรชัย บุญหนุน หลอกลวงผู้คัดค้านว่าไม่เคยมีคู่สมรสมาก่อน จนผู้คัดค้านหลงเชื่อจนจดทะเบียนสมรส ผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียในคดีนี้เพราะมิใช่ผู้สืบสันดานของคู่สมรส ขอให้ยกคำร้อง
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของนายสุรชัย บุญหนุน กับนางชะอ้อน อุบลมณี ซึ่งอยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ผู้ร้องใช้นางสกุล บุญหนุนของบิดามาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ตามแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรเอกสารหมาย ร.1 และสำเนาสูติบัตรเอกสารหมาย ร.2 วันที่ 6 มิถุนายน 2531 นายสุรชัยได้จดทะเบียนสมรสกับนางพนารัตน์ อุดมสุข ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2539 นายสุรชัย ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวจงจิตต์ เมธาประเสริฐศิลป์ ผู้คัดค้านตามสำเนาใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย ร.5 และวันที่ 7 มิถุนายน 2539นายสุรชัยได้จดทะเบียนหย่ากับนางพนารัตน์ ตามสำเนาทะเบียนหย่าเอกสารหมาย ค.2 และสำเนาใบสำคัญการหย่าเอกสารหมาย ค.3
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497 หรือไม่ ในปัญหานี้ผู้ร้องมีผู้ร้องและนายสุรชัยต่างเบิกความสอดคล้องกันเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ร้องกับนายสุรชัยในฐานะเป็นบิดากับบุตรโดยผู้ร้องใช้นามสกุลของนายสุรชัย นายสุรชัย ให้ความอุปการะเลี้ยงดูผู้ร้อง ทั้งนายสุรชัยเป็นผู้ปกครองของผู้ร้องขณะที่ผู้ร้องเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นตามสมุดรายงานประจำตัวนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเอกสารหมาย ร.6 ซึ่งมีข้อความระบุว่านายสุรชัยผู้ปกครองเกี่ยวพันกับผู้ร้องในฐานะเป็นบิดากับมีข้อความที่นายสุรชัยได้บันทึกลงในช่องความเห็นผู้ปกครองแล้วลงชื่อกำกับไว้ นอกจากนั้นนายสุรชัยยังได้จดทะเบียนรับรองผู้ร้องเป็นบุตรตามทะเบียนการรับรองบุตรเอกสารหมาย ร.7 เห็นว่า แม้การจดทะเบียนรับรองบุตรตามเอกสารหมาย ร.7 จะเป็นการจดทะเบียนภายหลังยื่นคำร้องขอนี้ก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนรับรองบุตรดังกล่าวถือได้ว่าเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปตลอดมาว่าผู้ร้องเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายสุรชัยที่บิดาได้รับรองมาตั้งแต่ต้นก่อนที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคดีนี้แล้ว ผู้ร้องจึงเป็นผู้สืบสันดานของนายสุรชัยมาก่อนที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอคดีนี้ แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้สืบสันดานของนายสุรชัยกับนางชะอ้อนก็ตาม แต่ขณะที่ผู้คัดค้านจดทะเบียนสมรสกับนายสุรชัย นางชะอ้อนมารดาผู้ร้องมิได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสุรชัย นางชะอ้อน จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 1497 และปรากฏว่านายสุรชัยได้จดทะเบียนสมรสกับผู้คัดค้านซึ่งเกิดจากความไม่สุจริตของนายสุรชัยฝ่ายเดียว เพราะนายสุรชัยได้จดทะเบียนสมรสกับนางพนารัตน์ไว้ก่อนแล้ว โดยในการจดทะเบียนสมรสครั้งหลังนี้ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านไม่สุจริต เนื่องจากนายสุรชัยได้เบิกความตอบทนายผู้คัดค้านถามค้านว่าพยานจดทะเบียนสมรสกับผู้คัดค้านนั้น พยานไม่ได้ถูกบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น การที่นายสุรชัยจดทะเบียนสมรสกับผู้คัดค้านโดยไม่สุจริตเช่นนี้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 1497 เช่นกัน นายสุรชัยและนางชะอ้อนต่างก็ไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างนายสุรชัยกับผู้คัดค้านเป็นโมฆะตามมาตรา 1497 ได้การที่ผู้ร้องซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้สืบสันดานของนายสุรชัยกับนางชะอ้อน และในฐานะเป็นทายาทโดยธรรมของนายสุรชัยกับนางชะอ้อน ซึ่งผู้ร้องมีสิทธิ แต่เพียงรับมรดกของนายสุรชัยกับนางชะอ้อนเมื่อบุคคลทั้งสองถึงแก่ความตายเท่านั้น ดังนั้นการที่ผู้คัดค้านได้จดทะเบียนสมรสซ้อนกับนายสุรชัยดังกล่าว จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของผู้ร้องอันเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่หรือจะต้องใช้สิทธิทางศาลที่จะทำให้ผู้ร้องมีอำนาจมาร้องขอต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ถือว่าผู้ร้องไม่อยู่ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497 ได้คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว อุทธรณ์ผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share